ในเรื่องนี้อัลเลาะฮฺได้ทรงมีบัญชาแก่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ศ) ไว้ว่า ความว่า... “จงกล่าวเถิด (มุฮัมหมัด) แท้จริงฉันได้รับบัญชาให้ภักดีต่ออัลเลาะฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจในศาสนาต่อ พระองค์ (39,11)
- ความบริสุทธิ์ใจเป็นตัวยืนยันความจริง
- ความศรัทธาเป็นความยำเกรงสูงสุด
- การยอมรับของอัลเลาะฮฺคือความเกรียงไกร
- และรางวัลจากอัลเลาะฮฺคือความยิ่งใหญ่
ความยำเกรงอัลเลาะฮฺเป็นความจำเป็นแก่ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่อิสลาม เหมือนน้ำมี ความจำเป็นต่อต้นไม้ วิญญาณมีความจำเป็นต่อร่างกาย การทำงานศาสนาภายนอกและ ภายในจะต้องเหมือนกัน ไม่เป็นคนมือถือสากปากถือศีล
การทำงานของคนสองมาตราฐานจะไม่ถูกยอมรับดังที่อัลเลาะฮฺได้ตรัสเอาไว้ว่า
ความว่า... “ในความเป็นจริงอัลเลาะฮฺจะยอมรับการงานเฉพาะจากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น (5,27)
ฉะนั้นเราจึงได้เห็นคนรอบรู้ศาสนายังทำสิ่งต้องห้ามอยู่ คนที่เคร่งอิบาดะฮ์ ยังไม่เลิกการคดโกง เพราะภายนอกกับภายในไม่เหมือนกัน ภาพลวงตาเช่นนี้ในยุคนี้จะปรากฏให้เห็นในทุกสถานที่ เมื่อทำอิบาดะห์ของพวก เขาไม่ได้เกิดจากการยำเกรง เป็นเหตุให้การงานนั้นๆ ไม่เป็นที่ยอมรับ
การไม่ยอมรับของอัลเลาะฮฺทำให้การงานที่ทำเสมือนกับฟองสบู่ สลายไปกับแรงลมที่พัดพาโดยไม่รู้ทิศทางแต่อย่างไร
อัลเลาะฮฺได้ทรงกำชับท่านนบี (ศ) นอกจากเรื่องการยำเกรงแล้วยังทรงได้กำชับในเรื่องการเชื่อฟังคำพูด
- ของผู้ปฏิเสธ
- และของพวกสับปลับ
ที่จะมีผลเสียต่อความศรัทธา พระองค์จึงได้ทรงห้ามเอาไว้ เพราะคนเหล่านั้นจะชักจูงไปในหนทางที่หลงผิด ส่วนผลของการยำเกรงนั้นจะทำให้
- เกิดการแยกแยะความดีความชั่ว
- เกิดการปลดเปลื้องบาป
- และเกิดการยกโทษความผิด
เราเกรงกลัวอะไรอยู่ถึงไม่ยำเกรงอัลเลาะฮฺ