คุณธรรม จริยธรรมในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557
คุณธรรม จริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่พึงควรจะมีและใส่ไว้ในใจ สำหรับการปฏิบัติงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ ไม่เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดี ควรมีหลักธรรม 4 หลักธรรม ดังนี้
1. หลักฆราวาสธรรม 4
หลักฆราวาสธรรม 4 เป็นหลักธรรมเกี่ยวกับทางด้านการบริหาร มี 4 ข้อ ดังนี้
1.1 สัจจะ หมายถึง ความซื่อสัตย์ต่อกัน หรือความตั้งใจจริงต่อกัน อันความซื่อสัตย์นี้มิใช่แต่เฉพาะซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นที่มีความเกี่ยวข้องด้วย แต่ยังต้องมีสัจจะหรือมีความซื่อสัตย์ต่อความเป็นมนุษย์ของตนเองด้วย
1.2 ทมะ หมายถึง การรู้จักข่มจิตข่มใจตนเอง การข่มจิตใจตัวเองนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มีจิตใจไม่เข้มแข็งหรือคนที่มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย เช่น การเคยชินกับการทุจริตคอร์รัปชั่น เมื่อเกิดความรู้สึกอยากได้อยากมี ควรรีบข่มจิตข่มใจ ถอนตัวออกจากอกุศลจิตหรือจิตอันเป็นฝ่ายไม่ดีนั้น หากไม่สามารถข่มใจให้ชนะกระแสของกิเลสตัณหาอุปาทานแล้ว อาจจะทำอะไรไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ก็ได้ ดังนั้นคนดีจึงต้องมีทมะหรือการข่มใจให้อยู่ในฝ่ายธรรมะอันเป็นฝ่ายกุศลอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
1.3 ขันติ หมายถึง ความอดทน คนที่รู้จักความอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมเป็นผู้ชนะ ย่อมเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในที่สุด คนที่มีขันตินั้น จะเป็นคนไม่ผัดวันประกันพรุ่งในการทำงาน จะทำงานโดยอดทนต่อการพูดส่อเสียดเยาะเย้ยถากถางจากผู้ประสงค์ร้าย จะอดทนต่อความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อยกายและใจ จะอดทนและคอยเก็บเล็กผสมน้อย ต่อไปมันก็พอกพูนเพิ่มใหญ่ไปเอง ความอดทนที่สำคัญอีกอันหนึ่งคือ ความอดทนต่อการยั่วยวนของกิเลสตัณหาอุปาทานที่มากระทบจิตในทุกรูปแบบ จิตใจจะต้องไม่หวั่นไหวหลงใหลไปกับความทะยานอยาก โดยเฉพาะที่มาในทางทุจริตและทางกามคุณอันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลายทั้งปวง
1.4 จาคะ หมายถึง การสละให้ปันสิ่งของอันเป็นของๆ ตนแก่บุคคลที่ควรให้ปัน เกิดเป็นคนจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่ามิใช่ว่าวันหนึ่งๆ ก็คอยแต่จะแสวงหาผลประโยชน์ เกียรติ ลาภยศ สรรเสริญ โดยมิได้จัดการทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ บ้าง เกิดเป็นคนควรรู้จักจาคะหรือการแบ่งปันบ้าง ควรรู้จักสละให้ปันสิ่งของที่ตนมีเพื่อประโยชน์ของคนอื่น เพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวมตามกำลังที่มีอยู่ และขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการเบียดเบียนตัวเองจนเกินไป จะเสียสละอะไรไปก็ให้พอเหมาะพอควรตามรายได้ หรือตามฐานานุรูปของตัวเอง เมื่อใดที่ให้จาคะไปอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จะรู้สึกปิติสุข สบายใจและได้บุญมาก
2. หลักพรมวิหาร 4
หลักพรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมประจำใจในการบริหารชีวิตที่ถูกต้องดีงาม เพื่อให้ชีวิตที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุขในสังคมมนุษย์ มี 4 ข้อ ดังนี้
2.1 เมตตา ความมีไมตรี ความเป็นมิตร ความรัก ความปรารถนาดี อยากให้ผู้อื่นมีความสุข
2.2 กรุณา ความสงสาร ความมีใจพลอยหวั่นไหว เมื่อผู้อื่นประสบความทุกข์ก็อยากช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์
2.3 มุทิตา ความพลอยยินดีด้วย เอาใจสนับสนุน ส่งเสริมเมื่อผู้อื่นประสบความสำเร็จได้ดีมีสุขก็อยากให้ได้ดีมีสุขยิ่งๆขึ้นไป
2.4 อุเบกขา การวางเฉยเป็นกลางให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ซึ่งต่างจากเมตตา กรุณา มุทิตา ที่ใช้เพียงความรู้สึกที่ดีก็พอ แต่อุเบกขาจะใช้ลำพังความรู้สึกไม่ได้ ต้องใช้ความรู้ (ปัญญา) ด้วย คือต้องรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นความจริง อะไรเป็นความถูกต้องดีงาม อะไรคือหลักการ แล้วเอาความรู้นั้นมาปรับเข้ากับความรู้สึกให้ลงตัวพอดี เพื่อวางตัวได้ถูกต้อง เป็นกลางตามธรรม
อนึ่งเมื่อผู้ใดละเมิดธรรม คือ ทำผิดกฎหมายหรือกฎกติกาของสังคม ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับผู้นั้นไม่ว่าจะสถานภาพใดต้องหยุดขวนขวายช่วยเหลือทุกวิถีทางทันที ปล่อยให้มีการปฏิบัติต่อเขาเป็นไปตามความเป็นจริง ตามหลักการโดยไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงกระบวนการของธรรมเพื่อเป็นการรักษาธรรมไว้ มิฉะนั้นสังคมจะวุ่นวาย
ในสังคมไทยผู้ที่มีพรหมวิหารครบ 4 ข้อนั้นหายากมาก ส่วนใหญ่จะรู้จักและใช้กันตามความรู้สึกเพียง 3 ข้อแรกเท่านั้น คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ส่วนข้อ 4 อุเบกขา นั้น ไม่ค่อยได้ใช้กันเพราะขาดปัญญา ไม่รู้ ไม่เข้าใจความหมายที่ถูกต้องของอุเบกขา เป็นเหตุให้ไม่มีพลังมากพอที่จะร่วมกันแก้ปัญหาเลวร้ายต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นให้ลดลงหรือหมดไปได้
แต่เมื่อทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากมีเมตตา กรุณา มุทิตา ที่เหมาะสมพอดี และมีอุเบกขาคุมท้ายไว้แล้ว ก็จะทำให้ทุกคนมีน้ำใจช่วยเหลือ ส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วยความสัมพันธ์อันดี พร้อมทั้งดำรงรักษาความเป็นธรรมในสังคมและความเข้มแข็ง รับผิดชอบในตัวคนไว้ได้ แล้วก็จะทำให้สังคมมีสันติสุข
3. หลักหิริโอตัปปะ
หิริโอตัปปะ หมายถึง ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป เป็นธรรมะสำคัญที่นักปกครองใช้ควบคุมจิตใจมนุษย์ให้อยู่ในความดี ใช้ในการดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกันของคนในสังคม การดำเนินงานและการปฏิบัติหน้าที่ บุคคลที่ไม่ละอายแก่ใจต่อการกระทำผิด ไม่เกรงกลัวต่อผลของการกระทำผิดแล้วนั้น บุคคลนั้นสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้ทุกชนิด สามารถสร้างความเดือดร้อน ความเสียหายให้แก่ตนเอง และผู้คนในสังคมไม่หยุดหย่อน จะเห็นได้จากการทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่มีข่าวออกมาให้เห็นตลอด การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้ตระหนักถึงหิริโอตัปปะได้นั้น ต้องมีบทกำหนดโทษตามกฎหมายที่มีการบังคับใช้อย่างเด็ดขาด เข้ามาเป็นตัวช่วยให้เกิดความตระหนักมากยิ่งขึ้น จึงจะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความเกรงกลัวที่สมเหตุสมผลได้เป็นอย่างดี และจะทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นได้น้อยลง หรือไม่เกิดขึ้นเลย
เจ้าหน้าที่ของรัฐควรได้มีการปลูกฝังหิริโอตัปปะ โดยเริ่มต้นง่ายๆ คือฝึกตัวเองให้เคารพกฎหมายและระเบียบของหน่วยงาน ข้อนี้ทำไม่ยากเพราะการละเมิดกฎหมายและระเบียบนั้น มีบทลงโทษอยู่แล้ว ฝึกหัดตัวเองให้กลัวการถูกลงโทษก่อน ถ้าหากจะพยายามหาอุบายหลีกเลี่ยงกฎหมายและระเบียบ จงระลึกอยู่เสมอว่าท่านอาจจะพลาดพลั้ง หรือถ้าท่านคิดว่าท่านฉลาดเอาตัวรอดได้ จงนึกว่าอาจมีคนฉลาดกว่าและจับได้ ถ้าท่านกำลังจะทำผิดเพราะคิดว่าไม่ใครรู้เห็น จงจำไว้ว่าความลับไม่มีในโลกนี้
เมื่อฝึกตนให้เป็นคนเคารพและเกรงกลัวกฎหมายแล้ว ขั้นต่อไปก็ฝึกให้เคารพตนเอง ฝึกหัดปกครองตนเอง การปกครองตนเอง คือ การยับยั้งใจตนเองมิให้กระทำผิด จงคิดว่าเราเป็นมนุษย์ซึ่งแปลว่าผู้มีใจสูง มนุษย์เท่านั้นที่อาจฝึกให้รู้จักละอายต่อความชั่วได้ เราเกิดมาเป็นคนแล้วควรทำตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทำให้ตนเป็นผู้มีศักดิ์ศรี หากใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างนี้แล้ว เมื่อเคยชินกับการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบหลักธรรมข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถกระทำตามได้
4. หลักธรรมภิบาล
หลักธรรมาภิบาล คือ หลักในการปกครอง บริหารงาน การจัดการและการควบคุมดูแลทั้งภาครัฐ และเอกชนให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองครองธรรม เพื่อให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้า เป็นที่ยอมรับ เชื่อมั่น และศรัทธา จากสังคมภายในและภายนอกองค์กรนั้น ประกอบด้วยหลักการ 6 ประการ ดังนี้คือ
3.1 หลักนิติธรรม หมายถึง การตรากฎหมายที่ถูกต้องเป็นธรรม การบังคับการให้เป็นไปตามกฎกติกาที่ตกลงไว้อย่างเคร่งครัด โดคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรมของสมาชิก
3.2 หลักคุณธรรม หมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม การส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาตนเองไปพร้อมกัน เพื่อให้คนไทยมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย ประกอบอาชีพสุจริต จนเป็นนิสัยประจำชาติ
3.3 หลักความโปร่งใส หมายถึง การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในชาติ โดยปรับปรุงกลไกการทำงานของทุกองค์กรให้มีความโปร่งใส
3.4 หลักการมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ และเสนอความเห็นในการตัดสินปัญหาสำคัญของประเทศ ไม่ว่าด้วยการแจ้งความเห็น การไต่สวนสาธารณะ การประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติ และอื่นๆ
3.5 หลักการรับผิดชอบ หมายถึง การตระหนักในสิทธิหน้าที่ ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคม การใส่ใจปัญหาสาธารณะของบ้านเมือง การกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา ตลอดจนการเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และความกล้าที่จะยอมรับผลดีและผลเสียจากการกระทำของตน
3.6 หลักการคุ้มค่า หมายถึง การบริการจัดการ และการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยการรณรงค์ให้คนไทยมีความประหยัด ใช้ของอย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ สามารถแข่งขันในเวทีโลก และรักษาพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ยั่งยืน
เจ้าหน้าที่ของรัฐในปัจจุบันส่วนมากยังขาดหลักธรรมทั้ง 4 ประการข้างต้น จะเห็นได้จากการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้นำหลักธรรมทั้ง 4 ประการ มาประพฤติปฏิบัติ ยึดถือเป็นต้นแบบ และสนับสนุนส่งเสริมให้มีการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐจะได้รับการยอมรับและความศรัทธาจากประชาชน รวมทั้งจะส่งผลให้ประเทศชาติได้พัฒนาสืบไป
สรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเจ้าหน้าที่ของรัฐควรนำหลักคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่มาใช้ให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง