ยังถือว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีนยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้คณะกรรมการด้านสาธารณสุขของรัฐบาลจีน อัพเดทยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุใหม่ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 361ราย ขณะที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 17,205 ราย
โดยจากที่ก่อนหน้านี้มีความคืบหน้าว่า หั่วเสินซาน โรงพยาบาล ผู้ป่วยไวรัสโคโรน่าสร้างใหม่แห่งแรกเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซึ่งการก่อสร้างโรงพยาบาล “หั่วเสินซาน” (Huoshenshan Hospital) ขนาด 25,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่แห่งแรก ณ นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน
ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก China Xinhua News ได้อัพเดตความคืบหน้าของการสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า “ความเร็วมาตรฐานจีน” ซึ่งโรงพบาบาลดังกล่าวได้มีกำหนดก่อสร้างเสร็จสิ้นภายในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ. และจะเปิดรับผู้ป่วยกลุ่มแรกในวันจันทร์ที่ 3 ก.พ. โดยโรงพยาบาลหั่วเสินซาน ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 11 วัน นับตั้งแต่ 23 ม.ค. โดยอ้างอิงรูปแบบการก่อสร้างจากโรงพยาบาลเสี่ยวทังซาน ในกรุงปักกิ่ง ที่เคยใช้เป็นสถานกักกันและรักษาผู้ป่วยโรคซาร์สเมื่อปี 2003
ทั้งนี้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในไซต์ก่อสร้างของโรงพยาบาลแห่งนี้ภายในเวลา 26 ชั่วโมงโดยแผนการก่อสร้างฉบับล่าสุดระบุว่าโรงพยาบาลเหลยเสินซานจะมีขนาดถึง 70,000 ตารางเมตรโดยมีเป็นพื้นที่ผู้ป่วยคัดแยกราว 50,000 ตารางเมตร โซนที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ 9,000 ตารางเมตรสามารถรับรองบุคลากรการแพทย์ได้ราว 2 พันกว่าคนและจะเพิ่มเตียงผู้ป่วยเป็น 1,600 หลังซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดทำการได้ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้
ขณะเดียวกันประธานาธิดี สีจิ้นผิง อนุมัติให้ทีมแพทย์ จากโรงพยาบาลต่างๆ ในเครือกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) จำนวน 950 คน และแพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน อีก 450 คน ซึ่งถูกส่งไปยังอู่ฮั่นแล้วก่อนหน้านี้ เข้าร่วมการปฏิบัติหน้าที่รวม 1,400 คน เข้าปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่ก่อสร้างใหม่
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญร่วม 15 คน เพื่อดูแลงานป้องกันและควบคุมโรคของโรงพยาบาลเพื่อทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย ทั้งนี้ในกลุ่มแพทย์ทหารที่เตรียมเข้าประจำการในโรงพยาบาลหั่วเสินซานมีหลายคนเคยเข้าร่วมภารกิจต่อสู้กับโรคระบาดในอดีต อาทิ โรคซาร์ส ณ โรงพยาบาลเสี่ยวทังซาน ในกรุงปักกิ่ง หรือ โรคอีโบลาในประเทศเซียร์ราลีโอนและไลบีเรีย ทั้งยังมีประสบการณ์ด้านการรักษาโรคติดต่อหลายโรคด้วยกัน
สำหรับโรงพยาบาลแห่งที่ 2 เหลยเสินซาย อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อรองรับผู้ป่วย 1,300-1,500 เตียง ส่วนช่วงเช้ามืดวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา กองทัพอากาศจีนส่งเจ้าหน้าที่การแพทย์ของกองทัพจำนวน 795 ราย และของใช้สำคัญต่างๆ อีก 58 ตัน ไปปฏิบัติภารกิจในมณฑลหูเป่ย โดยเครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่จำนวน 8 ลำ ตามคำสั่งของคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง
การขนส่งกองกำลังเพื่อร่วมปฏิบัติภารกิจที่ไม่ใช่สงครามของกองทัพอากาศในครั้งนี้ นับเป็นการใช้จำนวนเครื่องบินขนส่งมากเป็นอันดับ 3 ของกองทัพฯ รองจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอำเภอเวิ่นชวน มณฑลเสฉวน ปี 2008 และเหตุแผ่นดินไหวในแคว้นปกครองตนเองกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตอวี้ซู่ มณฑลชิงไห่ เมื่อปี 2010
โรงพยาบาลหั่วเสินซานที่สร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 ได้สร้างเสร็จแล้วในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เตรียมรองรับผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เมืองอู่ฮั่น โดยมีการเปิดเผยภาพถ่ายความพร้อมด้านในห้องรักษาผู้ป่วย และตัวอาคารทั้งหมด ตอกย้ำถึงความพร้อมของจีนที่จะควบคุมการระบาดของไวรัส ซึ่งโรงพยาบาลหั่วเสินซานที่สร้างขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เมืองอู่ฮั่น ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมีการส่งมอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ด้าน นายโจวเซียนว่าง นายกเทศมนตรีเมืองอู่ฮั่นได้ลงนามส่งมอบและรับโรงพยาบาลหั่วเสินซาน กับ ไป๋จงปิน รองผู้บัญชาการกรมส่งกำลังบำรุงร่วม เพื่อมอบโรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับหน่วยแพทย์ทหารของกองกำลังปลดปล่อยประชาชนจีน
โดยโรงพยาบาลจะเปิดรับผู้ป่วยกลุ่มแรกในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ โดยมี 1,000 เตียง การก่อสร้างโรงพยาบาลเริ่มขึ้นในเย็นวันที่ 23 มกราคม 2563 โดยมีกำหนดเริ่มบริการรับคนไข้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ในช่วงแรกของการก่อสร้างใช้รถขุดหลายสิบคัน รวมถึงรถปราบดินและอุปกรณ์เคลื่อนย้ายดินอื่นๆ นำมายกระดับพื้นดิน ตามมาด้วยการปูพื้นหลายชั้นและปูคอนกรีต จากนั้นเป็นการสร้างตัวอาคารด้วยใช้โครงสร้างสำเร็จรูปมาก่อเข้าด้วยกัน ทำให้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ในตอนแรกทีมงานก่อสร้างมีกำลังคนไม่พอ ต้องทำงานสองกะ กะละ 12 ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตามมีคนงานเพิ่มเข้ามาเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุดมีถึง 7,500 คน ร่วมกันทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน
ขอบคุณเฟซบุ๊ก China Xinhua News