จากกรณี พีท คนเลือดบวก โพสต์เปิดสอนคอร์สมีเซ็กส์สดปลอดภัย ทั้งที่ติดเชื้อ HIV เรียกค่าเข้าร่วมคนละ 500 บาท ต่อมามีพยาบาลสาวแชร์โพสต์ดังกล่าว และวิจารณ์รุนแรง ทำนองหากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน แล้วปลอดภัยจริง ตัวคนโพสต์เองคงไม่ติดโรค และไม่ควรคิดไปสอนคนอื่น จนถึงขั้นพีทขึ้นโรงพักลงบันทึกประจำวัน
ล่าสุด รายการโหนกระแส วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ได้เปิดใจสัมภาษณ์ พีท คนเลือดบวก มาพร้อม ดร. นพ.ปกรัฐ หังสสูต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ประเด็นเกิดอะไรขึ้น ?
พีท : จริง ๆ เป็นข้อมูล เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่แล้ว ทฤษฎี U=U คือคนที่มีเอชไอวี รับยาต้านแล้ว อย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี รักษาอย่างดี กินยาตรงเวลาต่อเนื่องตลอดไป ก็ไม่สามารถส่งต่อเอชไอวีให้กับพาร์ตเนอร์เขาได้
เป็นมานานหรือยัง ?
พีท : เป็นมา 4 ปี ผมเป็น LGBT
พีทเป็นก็ไปศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้น ?
พีท : ตอนรู้ผลเลือดด้วยความบังเอิญ ใช้เวลา 3 ปีนั้น อยู่บนความดำมืดของความไม่รู้ ความไม่เข้าใจว่ากินยาไปเพื่ออะไร แต่ตอนนั้นกินยาเพื่อที่จะอยู่กับแฟน และคิดว่าเรากินยายังไงเราก็ต้องตาย จนผมรู้สึกว่าไม่รู้แหละ ใครจะมองผมยังไง แต่ผมอยากใช้ชีวิตของผมอย่างมีความสุข
ผมยอมรับตัวเองได้ คนอื่นจะยอมรับผมยังไงก็เรื่องของเขา ผมก็เลยเลือกที่จะเปิดเผยบนเฟซบุ๊ก แล้วกลายเป็นว่าคนก็ให้กำลังใจ พี่ ๆ ก็ตามหาตัวเชิญมาสัมภาษณ์ ผมก็ได้ไปรู้ข้อมูลหนึ่ง มันมีทฤษฎี U=U (Undetectable = Untransmittable) คือคนเลือกบวกที่ได้รับยาต้านไวรัสแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี กินยาตรงเวลา และกินยาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ คนเลือดบวกคนนั้นจะไม่สามารถส่งเลือดบวกให้คู่ของเขาได้
ถ้ากินยาต้านเอชไอวีตัวนี้ 6 เดือน ถึง 1 ปี คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยที่เชื้อไม่ไปติดคนอื่น เหมือนคุณคนปกติงี้เหรอ ?
พีท : ใช่ครับ เพราะ WHO หรือองค์กรระดับโลก หรือองค์กรยูเอ็น เอดส์ ก็สื่อสารว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแล้ว กดไวรัสลงได้แล้วเนี่ย จะไม่สามารถส่งต่อเอชไอวีให้กับคนอื่นได้ ความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์เป็นศูนย์ สำหรับเอชไอวี
การที่อยู่ดี ๆ ในมุมที่คุณเป็น คุณอาจมีแฟนอยู่ ทำไมไม่ใช้ในมุมคุณเอง คุณออกมาประกาศว่าจะเปิดคอร์สสอนคนเป็นเอชไอวี แล้วก็มีเพศสัมพันธ์สด ๆ โดยไม่สวมถุงยาง ทำเพื่ออะไร ?
พีท : จริง ๆ ผมพูดทั้งฝั่งคนเลือดลบและคนเลือดบวกด้วยนะครับ ฝั่งคนเลือดลบ เขาจะมีเครื่องมือในการป้องกัน คือยา Prep คือยาป้องกันเอชไอวีก่อนสัมผัสเชื้อ ซึ่งมันสามารถป้องกันเอชไอวีได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาจะใช้ถุงยางร่วมด้วย หรือไม่ใช้ก็ตาม เป็นด่านแรก
เอาง่าย ๆ คุณไปยุ่งกับเขาทำไม ในเมื่อคุณมีความคิดแบบนี้ จำเป็นต้องเปิดคอร์สสอนด้วยเหรอ ?
พีท : จริง ๆ ควรเป็นอย่างนั้น
คุณจิตสาธารณกุศลทำไม ?
พีท : เพราะว่าพวกเขาอยู่ในความเสี่ยง พวกเขาอยู่ในกลุ่มอันตรายครับ ถามว่ามีองค์กรไหนช่วยกลุ่มประชากรกลุ่มนี้บ้าง
สมมติคุณบอก U=U กินยาต้านไวรัส อาจไม่มีการส่งต่อเชื้อ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกายของคุณ ถ้าวันนี้คุณมีเพศสัมพันธ์ไม่สวมถุงยางอนามัย เริม หรือพวกตับอักเสบ หนองใน ซิฟิลิส โรคอื่น ๆ อีกเยอะแยะที่มันมาจากทางเพศสัมพันธ์ได้ ไม่กลัวจะไปกระตุ้นเชื้อเอชไอวีเหรอ ?
พีท : ผมเคยเป็นหนองใน และซิฟิลิสมาแล้ว เป็นทั้งที่เป็นนักรณรงค์ เป็นเพื่อให้รู้ว่ามันต้องรักษายังไง ข้อมูลอะไรที่เราต้องรู้
ในฐานะเป็นนักไวรัสวิทยา ศึกษามานักต่อนัก ทฤษฎีแบบนี้ มองยังไง ?
ดร. นพ.ปกรัฐ : สิ่งที่คุณพีทพูด มันถูกต้อง แต่คนไหนไม่มีเชื้อแล้วจะไม่สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้ นี่เป็นความรู้ในสากลว่าเป็นความจริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในการศึกษาวิจัย ทุกคนถูกคอนโทรลควบคุมหมดเลย ต้องกินยาจนเชื้อไม่มี จึงไม่สามารถส่งผ่านเชื้อได้
เราต้องพูดว่า ถ้าคนไหนไม่มีเชื้อ เขาจะไม่แพร่เชื้อให้คู่ของเขา พาร์ตเนอร์ของเขา ไม่ใช่ไปแพร่เอชไอวีให้คนทั่วไป แล้วถ้าเกิดใช้ยา Prep ปกติการกินยาได้ ทั่วโลกบอกว่าใช้ได้ค่อนข้างดี แต่ไม่ใช่แปลว่าไม่ใช้ถุงยางอนามัยนะครับ เพราะนอกจากโรคที่คุณหนุ่มพูดแล้ว คนที่ไปนอนกับผู้ติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อหนองใน ซิฟิลิส โรคเริม ในมุมมองของผมไม่ควรอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชือ ควรใช้ถุงยางอนามัย
ถ้ามองในมุมคนเป็นเอชไอวี ภูมิคุ้มกันต่ำ สามารถรับเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติไหม แม้จะกินยาต้านไวรัสไปแล้ว จะกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ?
ดร. นพ.ปกรัฐ : คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ดีขึ้นยังไงก็มีความผิดปกติในการคุ้มกันโรค อาจรับเชื้อได้ง่ายกว่า
เคยศึกษาไหม ?
พีท : ทราบอยู่ครับว่าระดับซีดีโฟร์ มีเลเวลหรือแรงกิ้งอยู่ ซึ่งถ้าคนทั่วไปก็ประมาณ 500 หรือ 600 ขึ้นไป สำหรับผม ผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับผลแล็บของแต่ละคน สำหรับผม ซีดีโฟร์เกิน 600 มาแล้ว 2 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ป่วยเลย ไม่เป็นอะไรเลยแม้กระทั่งไข้หวัด โอเค อาจแตกต่างกันแต่ละบุคคล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะมาเป็นพอยต์ พอยต์คือเราต้องกินยาให้ตรงเวลา เพื่อรักษาตัวเองอยู่ในสถานะไม่แพร่เชื้อต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณหยุดยา คุณจะดื้อยา และต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่ที่แรงขึ้น มีผลต่อตับและหัวใจมากกว่าเดิม
ตรงนั้นออกมารณรงค์กันได้ แต่คนละเรื่องที่คุณไปชวนคนมาเข้าคอร์ส มีเพศสัมพันธ์กันแบบสด ๆ ไม่ใส่ถุงยาง ?
พีท : พี่กรรชัยยอมรับไหมล่ะครับว่ากลุ่มคนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่เป็นปัญหาสาธารณสุขอยู่ทุกวันนี้ คนที่มีรสนิยมไม่ใช้ถุงยาง พี่เชื่อว่ากลุ่มคนนี้มีตัวตนอยู่ไหมในสังคม คนกลุ่มนี้ไม่ใช้ ให้ตายยังไงก็ไม่ใช้ เหมือนผมบอกว่าผมมีรสนิยมไม่ใช้ถุงยาง ผมอยากรักษาทุกโรค แต่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย คำถามคือ ถ้าคุณหมอบอกว่าใช้ถุงยางอย่างเดียว ผมมีเครื่องมืออื่นในการป้องกันผมหรือเปล่า
คุณจะพูดถึงรสนิยมคนไม่ชอบถุงยางอนามัย แต่ไม่ใช่ว่าจะไปชวนคนอื่นให้ไปเหมือนคุณ มันทำได้เหรอ ?
พีท : เรื่องรสนิยมแบบนี้ ใครจะไปเปิดเผยกันล่ะ ผมก็ต้องหว่านแหไหม
แต่แบบนี้อาจไปชี้แนะสังคม เพราะสังคมบอกว่าใช้เถอะ มันมีเรื่องโรคต่าง ๆ ตามมา ?
พีท : ถูกครับ ผมไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้นะครับ ผมพูดหมด แต่ภายใต้คำแคปชั่นออกมา ต้องดูว่ารายละเอียดที่ผมพูดออกมา ผมตอบคำถามที่คุณหมอพูดไว้หมดแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจว่าสังคมไปอ่านหรือเปล่า แค่นั้นเอง
ปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คนบอกว่าใช้ถุงยางน้อยลงแล้วจะติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น 10 ปีที่ผ่านมา ทำไมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้น ก่อนผมจะออกมาพูดด้วยซ้ำ ในความเป็นจริงมันไม่ใช่การลดการติดต่อ แต่เรียกคนเข้ารับบริการทางตรวจ เจออะไรก็รักษา โดยใช้ยา Prep หรือเซ็กส์สดเป็นกลยุทธ์เรียกคนมารับบริการ ถ้าเขามาถึงระบบ ทำไมไม่ตรวจโรคเขาให้หมดเลยล่ะครับ
คุณกำลังจะพยายามบอกว่าเป็นกุศโลบายเหรอ ?
พีท : ใช่ครับ
ดูย้อนแย้ง ?
พีท : อยู่ที่ว่าเราตีความยังไงกับคำว่าเซ็กส์สด สำหรับผม ผมว่าเซ็กส์สดคือเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเกิดมาจากการมีเซ็กส์สด ถูกไหมครับ
ปัจจุบันคนตายเพราะปัญหาโรคต่าง ๆ ที่ไม่ใช้ถุงยางเยอะไหม ?
ดร. นพ.ปกรัฐ : คนตายจากนี้คงไม่เยอะ แต่มีความพิการเกิดขึ้นด้วย ทำไมคนใช้ถุงยางเพื่อป้องกันโรค เพราะมีคนจำนวนหนึ่งเลยคิดแบบคุณพีท เขากลัวเอชไอวี แต่ไม่กลัวโรคอื่นเลย เป็นดาบสองคมมาก เขาต้องป้องกันตัวเองด้วยนะครับ ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น ซึ่งมีเชื้อดื้อยา ตามทฤษฎีนี้ก็มีโอกาสแพร่ให้คนอื่นด้วย
พีท : จริง ๆ ซิฟิลิสขึ้นสมองถ้ารู้เร็วก็รักษาเร็ว ทำไมเรารอให้คนป่วยก่อนเข้ารับบริการ ทุกคนควรได้รับการตรวจหาช่วยทันที ผมพูดกับกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง การทำงานที่สื่อสารทุกวันนี้ เข้าไม่ถึงคนกลุ่มนี้เลย คนกลุ่มนี้ไม่อิมแพ็คกับการสื่อสารของกระทรวงสาธารณสุขตอนนี้เลย เรื่องการใช้ถุงยาง คนกลุ่มนี้ไม่พร้อมปฏิบัติตาม คนกลุ่มนี้เขาแฝงตัวอยู่ในสังคม เขาไม่ปรากฏตัวให้คุณเห็นหรอกครับ พูดเลย
คุณเชิญชวนต้องการคนกลุ่มนี้เหรอ ?
พีท : ต้องการให้ข้อมูลนี้ส่งไปถึงกลุ่มเขา
จะบอกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งชอบเซ็กส์สด เขาพยายามจะสอนว่า ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ไม่สวมถุงยาง ต้องมีวิธีการยังไงบ้าง ?
พีท : ใช่ครับ ส่วนคนจะใช้ถุงยาง ยังไงเขาก็ใช้ ดูจากกระแสสังคมก็รู้ คนไม่ใช้ก็คือไม่ใช้
ดร. นพ.ปกรัฐ : ผมมองต่างมุมมากว่าทัศนคติแบบนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งนะ คุณพีทมีโอกาสอันดี อยู่ในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่ไม่มีใครเข้าถึง คุณพีทน่าจะช่วยเรา องค์การสาธารณสุข ในการโน้มน้าวให้คนใช้ถุงยาง เพราะมันมีโรคมากมาย เช่น โรคติดเชื้อไวรัสบางอย่างที่ทำให้เป็นมะเร็งทางทวารหนักได้ ผมไม่ทราบว่ากลุ่มที่คุณพีทพูดถึงเขารับรู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าการไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือไปสอนเขาว่าไม่ใช้ถุงยางอนามัยดีแล้ว มันเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้องให้สังคม
พีท : อาจารย์น่าจะเข้าใจพอยต์เรื่องส่งเสริมการใช้ถุงยาง แต่พอยต์ของผมคือการใช้ร่วมกันให้ดีที่สุด แต่ถ้าใช้ไม่ได้จริง ๆ หยิบอะไรได้ก็หยิบ นั่นคือพอยต์ของผม
หยิบอะไรได้ก็หยิบมันคืออะไร ถุงดำเหรอ ?
พีท : (หัวเราะ) ไม่ใช่ ยา Prep ไงครับ คนกลุ่มประชากรนี้เขาไม่สนว่าเขาเป็นอะไร คนอื่นจะเป็นอะไร 1 ปีที่ผ่านมาก่อนมาพูดเรื่องนี้ ผมไปออกรายการต่าง ๆ ก็พูดตามที่ทุกท่านพูด และพยายามโน้มน้าวตามที่คุณหมอพูด
ตอนนี้คนที่เขาดูรายการ ประชาชนส่วนใหญ่ด่าคุณเละเลย เขาว่าตรรกะคุณวิบัติ ?
พีท : การที่เราจะมองอะไรคือตรรกะวิบัติ เราต้องรู้ว่าอะไรคือตรรกะถูกก่อน การที่เขามาด่าผมว่าตรรกะวิบัติแบบนั้นมันถูกใช่ไหม
เอา 500 ไปทำอะไร ?
พีท : ค่าห้องประชุม
คุณถูกคนด่าเยอะมาก คุณโกรธ คุณออกมาโพสต์ว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนจากเกย์ไปปล่อยเชื้อให้ผู้หญิง เพื่อ ?
พีท : ผมรังเกียจคนแบบนี้ ต้องดูด้วยว่าคอมเม้นต์ที่ผมพูด ผมพูดภายใต้คอมเมนต์อะไร ไม่ใช่เหมาผู้หญิงทุกคน ผมคอมเมนต์ด่าผู้หญิงคนนั้นแหละ ไม่ใช่พยาบาล ที่เขามาด่าผมว่าเป็นเกย์ กะเทย มั่ว ร่าน สำส่อน
ก็เลยแค้น ?
พีท : ก็เลยรู้สึกว่าคุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินเขา ก็เลยบอกว่าก็ระวังให้ดีนะ วันหนึ่งจะเปลี่ยนรสนิยมไปชอบผู้หญิงก็ได้ ผมพูดเลยว่าวันหนึ่งอาจเปลี่ยนไปชอบผู้หญิงก็ได้ จะได้รับเชื้ออย่างเท่าเทียมกัน ถามว่าสิ่งที่ผมพูด ต้องดูว่าบริบทที่เขาพูดกับผมเป็นอะไร ถ้าเป็นคนหนุ่ม คุณก็รับไม่ได้หรอกครับ
ที่บอกเดี๋ยวจะรณรงค์คนเป็นเอชไอวี ปล่อยเชื้อออกไป 10 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นจำนวนคน จะติดประมาณ 51 ล้านคน เพื่อ ?
พีท : เพื่อให้คนเลือดลบได้เห็นว่าการที่เรารังเกียจเดียดฉันท์ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
อันนี้คนจะว่าคุณบ้าหรือเปล่า ?
พีท : ถ้าระยะยาวไม่ยุติปัญหาเอดส์ภายใน 10 ปี ทุกวันนี้ผมยังมองไม่เห็นแนวทางเลย การยุติมีอยู่ 2 ทางครับ ถ้าไม่กำราบไปเลย ก็ให้ทุกคนติดไปเลย มันอาจต้องใช้วิชั่นเยอะหน่อย เพราะผมก็เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็นไหม แต่วิธีการคิดแบบนี้มีคนทำอยู่จริง
แทนที่คุณจะช่วยกันรณรงค์ มองยังไง ?
ทนายรณณรงค์ : ถ้าวันนั้นมีการใช้ถุงยางอนามัย คนติดเชื้ออาจไม่ติดก็ได้ วันนี้ก็ไม่ต้องมานั่งโหนกระแส ถ้ามองย้อนกลับไปนะครับ มันแปลกตรงไหนที่จะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรค แต่การไม่ใช้ถุงยางอนามัยนี่สิมันแปลก แต่ถามว่าในคดีเมืองไทยมีนะ ฟ้องร้องติดเชื้อ คือข่มขืนโดยไม่ยินยอมแล้วติดเชื้อ แต่ถ้ายินยอม ติดเชื้อมาฟ้องร้องไม่ได้นะ
ตกลงคุณมีความคิดแบบนี้เหรอ ทั้งที่หลายคนมองว่าไม่ถูกแล้ว ?
พีท : ผมแค่อยากสะท้อนให้เขาเห็นว่าความโกรธแค้นของคนเลือดบวกที่คนเลือดลบกระทำ ดูถูกเหยียดหยาม
ไม่มีคนไปดูถูกเหยียดหยาม ?
พีท : พี่หนุ่มรู้ได้ยังไงครับว่าไม่มีคนดูถูกเหยียดหยาม เพราะผมรู้ว่าทุกวันนี้มีคนเลือดบวกโดนเหยียดหยาม โดนไล่ออกจากการทำงาน โดนด่า โดนไล่ขับจากหมู่บ้าน โดนทิ้งให้ตาย
ดร. นพ.ปกรัฐ : ถ้ามีคนดูถูกเหยียดหยาม เราต้องช่วยกันรณรงค์ไม่ให้เพิ่มจำนวน ถูกไหม
พีท : เราควรรณรงค์ให้คนเลือดลบเคารพในความเป็นคนครับ
ทนายรณณรงค์ : แล้ววิธีที่พีททำ คิดว่าจะทำให้คนรังเกียจพีทมากขึ้นกว่าเดิมไหม ปรากฏว่าคนที่เขาไม่ได้ติดเชื้อแล้ว เขาบอกว่าไม่ชอบวิธีการแสดงออกแบบนี้ แล้วมันจะเดินหน้ารณรงค์ยังไง วิธีคิดเอ็นจีโอทั่วไปเลยนะ ต้องมีการสอน
พีท : ด้วยความเคารพ ผมพูดในฐานะคนธรรมดา ทำไมคนหนึ่งคนลุกขึ้นมาทำแบบนี้ ทำไมสั่นคลอนกันทั้งระบบแบบนี้
เขาไม่ได้สั่นคลอน เพราะโครงสร้างสังคมมันเปลี่ยน สั่นคลอนเพราะเขาด่าคุณว่าสิ่งที่คุณทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเผยแพร่เชื้อออกไป ?
พีท : ต้องถามพี่หนุ่มว่าพี่หนุ่มมองกระแสสังคมส่วนใหญ่ถูกหรือผิด ผมไม่เชื่อว่ากระแสสังคมถูกต้องเสมอไป
ถ้าผมพูดในฐานะพ่อของลูก สิ่งที่คุณพูดไม่ถูกต้อง ผมห่วงลูก ห่วงเด็กที่ต้องโตขึ้นมาแล้วมีความคิดแบบคุณที่ว่า อยากปล่อยเชื้อ หรือไปบอกว่ามีเพศสัมพันธ์ได้ไม่ติดโรค ?
พีท : ถ้าผมคือลูกของพี่หนุ่ม พี่หนุ่มจะรับมือยังไง
คงยากถ้ามีลูกแบบคุณ ?
พีท : ก็ใช่ไงครับ
ดร. นพ.ปกรัฐ : ที่บอกว่าจะแพร่เชื้อออกไปให้คนติดเชื้อทั้งหมด ในโลกนี้ไม่มีอะไรดำสนิท ขาวบริสุทธิ์ มันมีสีเทา เพียงแต่เราต้องดึงสีเทาเข้ม ๆ ให้เป็นสีขาว นั่นคือหน้าที่พวกเรา ไม่ใช่เราจะไปพูดว่าเรามีเชื้อแล้วจะทำให้เหมือนเรา ไม่ใช่ครับ
พีท : ผมเชื่อว่าการออกแบบบริการสุขภาพให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคน นั่นคือทางแก้ปัญหาครับ
ขอบคุณรายการโหนกระแส