นางปุ่น สีสุพันธ์ อายุ 75 ปี ภรรยาของนายช่วย สีสุพันธ์ เล่าว่า ตนมีบุตรด้วยกัน 4 คน และสามีได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2554 และมีทรัพย์สินอยู่หลายรายการที่ยังไม่มีการโอนให้กับทายาท
ไม่ว่าจะเป็นรถไถ 1 คัน รถ 6 ล้อ จำนวน 2 คัน โรงสีข้าว บ้านพร้อมที่ดิน จำนวน 1 แปลง และที่นากว่า 60 ไร่ วัว 2 ตัว และทรัพย์สินอื่นๆ ก่อนจะถูกลูกคนหนึ่งเอาไปครอบครอง พร้อมไล่แม่ออกจากบ้าน
ก่อนจะระเห็จระเหินไปอยู่กับภรรยาของลูกชายคนโต ได้ประมาณ 1-2 ปี ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ว่าทำไมลูกถึงเอาสมบัติของพ่อและทอดทิ้งแม่อย่างไม่เหลียวแล เหมือนไม่มีค่า
ถึงแม้ว่าช่วงนี้ลูกชายคนโต จะพยายามมาซ่อมแซมบ้านให้แม่อยู่ และซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง แต่ก็ถูกลูกชายอีกคนที่พยายามจะครอบครองทรัพย์สินของพ่อเป็นของตนเอง ไม่ให้ก่อสร้างอย่างเด็ดขาด โดยอ้างว่าพ่อยกให้ ทั้งที่จริงแล้วยังไม่มีการยกให้ลูกคนไหน และได้ร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน แต่เรื่องก็เงียบ
นายสมัคร สีสุพันธ์ ลูกชายคนโต เปิดเผยว่า หลังจากบิดาเสียชีวิต ได้ทิ้งทรัพย์สินไว้หลายรายการ โดยที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ถูกลูกบางคนยึดเอาไปครอบครอง เป็นของตนโดยที่ไม่สนใจ คนในครอบครัวแม้แต่น้อย ซึ่งก็มีการแจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน แต่เรื่องก็เงียบหายไป โดยที่ตนพยายามพูดคุยกับน้องชาย ที่ยึดสมบัติของพ่อไปครอบครอง
โดยให้เหตุผลว่า หากแม่เป็นผู้จัดการมรดก พี่ชายจะได้ทรัพย์สินมากกว่าลูกคนอื่น ทั้งที่จริงแล้ว อยากให้แม่แบ่งเท่าๆ กัน จะได้ไม่เกิดปัญหาบานปลาย แต่น้องชายก็ไม่ยอม อยากได้ทรัพย์สินมากกว่าคนอื่น จึงพยายามเข้าไปเป็นผู้จัดการมรดก และครอบครองทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว
ตนก็ไม่อยากที่จะไปมีปากเสียง เพราะกลัวแม่จะรู้สึกไม่สบายใจ ว่าพี่น้องทะเลาะกัน แต่ในทางกลับกัน ลูกที่หวังสมบัติกับทอดทิ้งแม่ จนไม่มีที่อยู่ ต้องมาอยู่ที่บ้านภรรยาของตนเอง ซึ่งตนก็ทำงานรับจ้างอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่มีเวลาที่จะดูแลมารดา
จึงต้องให้มาพักอาศัยอยู่ที่บ้านกับภรรยาก่อน อีกทั้งตนยังได้ส่งเงิน มาให้ภรรยา เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่ชำรุด เพื่อหวังว่าจะให้มารดาได้เข้าไปพักอาศัยในปั่นปลายในที่ของตนเอง แต่ก็ถูกน้องชายกีดกันไม่ให้เข้าไปทำการปรับปรุงแต่อย่างใด
สำหรับลูกชายของนางปุ่น คู่กรณีที่เกิดปัญหา โดยไม่อนุญาตให้เก็บภาพแต่อย่างใด พร้อมเปิดเผยสั้นๆ ว่า แม่รักพี่ชายมากกว่า หากมีการแบ่งสมบัติ คงได้ไม่เท่ากัน ในส่วนของการทอดทิ้งแม่นั้น ไม่จริงเพราะแม่ไม่อยากมาอยู่กับตนเอง เพราะรักพี่ชายมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งของครอบครัวนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านดังกล่าว ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สงสารนางปุ่น ผู้เป็นแม่ หลังจากสามีเสียชีวิต นางปุ่น ก็ลำบากมากและต้องการอาศัยลูกสาวบุญธรรม ที่เคยรับเป็นลูกบุญธรรม
เพื่อหวังให้ช่วยดูแลและขออาศัยบ้านของตนเอง อยู่กับลูกบุญธรรม ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จึงสร้างความลำบากอย่างที่ทุกคนเห็นและร้องเรียนขอความช่วยเหลือไปยังผู้สื่อข่าวเพื่อเป็นสื่อกลางประสานงานหน่วยราชการให้เข้ามาเจรจาช่วยเหลือนางปุ่น