เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังจำ นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจสิ่งพิมพ์ชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้เข้าร่วมการชุมนุมกับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(กปปส.) ซึ่งตกเป็นจำเลยในข้อหากบฏหลังศาลประทับรับฟ้องตามคำร้องของอัยการเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2561
โดยเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 นายสาธิต ถูกคำสั่งศูนย์รักษาความสงบ(ศอศ.)เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร และให้ออกนอกราชอาณาจักรเนื่องจากได้ร่วมชุมนุม กปปส.ปิดสถานที่ราชการ ต่อมานายสาธิต ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตผอ.ศรส. และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานละเมิด และศาลแพ่งมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง ศรส.
นายสาธิต กล่าวภายหลังศาลแพ่งมีคำสั่งว่าว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งตนเชื่อมั่นในระบบศาลมาตั้งแต่อยู่ในแผ่นดินไทย ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทยก็คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรเพื่อตอบแทนบุญคุณในหลวงและแผ่นดินไทย การกระทำของตนไม่มีนอกมีใน ตนไม่ใช่แกนนำกลุ่มกปปส. แต่สิ่งที่กระทำเพื่อให้คนไทยภูมิใจและเทิดทูนสถาบัน ครั้งแรกที่มีคำสั่งและถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อสังคมและชาติรู้สึกงง ทั้งที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาตลอดและยังเคยได้รับเกียรติให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีด้วย 1 สมัย
ล่าสุด เจ้าของเฟซบุ๊ก แม่โชกุน แม่โมกุน ได้โพสต์ภาพ ชายชราคนหนึ่งพร้อมข้อความระบุว่า “ลุงสาธิต เซกัล แลกแบงค์ยี่สิบปึกใหญ่ยืนแจกเด็กๆ ที่ผ่านไปมาถนนคนเดินสีลม บางคนระแวงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่รู้ว่าแกคือ ปธ.หอการค้าไทย-อินเดีย ที่เคยถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์สั่งเนรเทศเพราะเป็น กปปส. แต่แกฟ้องศาลสู้จนชนะคดี
คนดีก็คือคนดี คนนี้สำหรับเราเป็นคนดีจริง…ตอนที่แกออกมาชุมนุมกับ กปปส.แกออกมาเพราะแกรักในหลวง.ร9 แกรักมาก แกออกมาแสดงพลังเพื่อปกป้อง ตอนนั้นมันมีคนที่อยู่ข้างรัฐบาลปูจาบจ้วงพระองค์ท่าน ไม่ได้ใส่ร้ายแต่มีจริงๆ หลังจากคสช.ยึดอำนาจ อดีต รมต.สส.ใน รบ.ปู หนีคดี112ไปอยู่ต่างประเทศก็หลายคน…..”
ก่อนหน้านั้น นายสาธิต เซกัล ได้เปิดเผยว่า ครอบครัวผมอพยพมาจากอินเดียเมื่อปี ค.ศ.1932 สมัยนั้นอินเดียยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ คุณลุงของผมตัดสินใจเดินทางมาด้วยคำชวนของเพื่อนที่ว่า ไปทำงานหากินที่ประเทศสยามดีกว่า “กษัตริย์ท่านใจบุญ ทรงดูแลประชาชนอย่างดี และต้อนรับชาวต่างชาติ” คุณลุงเริ่มทำงานรับจ้างได้เงินเดือน 200 บาท จนสามารถสร้างฐานะเป็นพ่อค้าผ้าชาวอินเดียรายใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 จึงชวนพ่อแม่ ผม และน้องชาย มาอยู่ประเทศสยามในปี ค.ศ.1947
ฉะนั้นคุณลุงกับคุณพ่อจะสอนผมเสมอว่า ต้องไม่ลืมบุญคุณแผ่นดินไทยและบุญคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่พวกเราไม่ลำบากและเหน็ดเหนื่อยเหมือนตอนอยู่ที่อินเดียก็เพราะพระองค์คนส่วนใหญ่คิดว่าผมเป็นอัครเศรษฐี แต่ชีวิตผมที่อยู่กับคุณแม่สองคน ไม่ต้องการอะไรมากมาย อยู่แบบง่ายๆ สบายๆ ไม่เที่ยว ไม่ชอบสังคมหรูหรา ติดดิน รถของผมใช้มา 22 ปีแล้ว เพราะผมน้อมนำพระบรมราโชวาทเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ถ้าสังคมไทยนำเศรษฐกิจพอเพียงของท่านมาใช้ ปัญหาครึ่งหนึ่งจะหายไป ซึ่งปัญหาใหญ่ที่สุดคือ ความยากจนของประชาชน วันนี้ชาวบ้านส่วนหนึ่งแทนที่จะนำคำสอนนี้ไปปฏิบัติ กลับหลงในสิ่งผิด นำเงินไปซื้อสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นในชีวิต
ผมทำกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เริ่มจากซื้อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สั่งทำสติ๊กเกอร์ “เรารักในหลวง” เป็นหมื่นๆใบ แล้วเดินแจกตามสถานที่ที่มีการชุมนุม ผมทำคนเดียวเงียบๆ ไม่ต้องการดังหรือมีชื่อเสียง แต่สิ่งที่ผมได้รับคือความภูมิใจที่มีส่วนในการจุดประกายความรัก เคารพ และเทิดทูนสถาบันที่มีอยู่ในจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่แต่ไม่แสดงออก
ถ้าเราไม่บอกหรือแสดงออกกับพ่อแม่ว่าเรารัก แล้วท่านจะรู้ไหม ผมมาจากประเทศอินเดียที่มีกษัตริย์เป็นร้อยๆพระองค์ ผมศึกษาประวัติของกษัตริย์ทั่วโลกทั้งอดีตและปัจจุบัน ทำให้ผมรู้ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของ”พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” รัชกาลที่ 9 เพราะทรงมีแต่ให้ ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงเหน็ดเหนื่อยกับประชาชนไทยมาตลอด เสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือประชาชนทั้งเหนือ อีสาน ใต้ แล้วเสด็จแปรพระราชฐานเป็นเดือนๆเพื่อหาทางสร้างอาชีพให้ชาวบ้านมีรายได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกเสมอว่า ไม่มีกษัตริย์ไหนในโลกนี้ที่ดีเท่ากับ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9″