อมรินทร์ ทีวี รายงานว่า นายเที่ยง อุ่นรัมย์ อายุ 80 ปี ชาวตำบลสะแกซำ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ช่วยเหลือ หลังจากเมื่อปี 2557 ภรรยาได้เสียชีวิตลง เกิดปัญหาภายในครอบครัวเรื่องที่ดินมรดก เนื่องจากมีที่ดินมรดกเป็นชื่อของภรรยา 2 แปลง แปลงหนึ่งมีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดินจำนวน 9 ไร่ อีกแปลงเป็น สค.1 เนื้อที่ประมาณ 11 ไร่ โดยแปลงที่เป็นโฉนด ลูก 3 คนจากจำนวนลูกทั้งหมด 6 คน ไปเดินเรื่องทำพินัยกรรมเพื่อแบ่งที่มรดก
ส่วนแปลงที่เป็น สค.1 เมื่อเดือน ก.ย. 2562 ที่ผ่านมา นายเที่ยงให้เจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดเพื่อแบ่งให้ลูก ๆ ได้ทำมาหากิน โดยแบ่งเป็น 5 ส่วน เฉลี่ยคนละ 2 ไร่เศษ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของพ่อที่เก็บไว้ทำกินเอง 2 ไร่เศษ โดยพื้นที่ในส่วนของพ่อก็ได้ปลูกต้นไม้ ทำนา และขุดสระเลี้ยงปลา แต่พอลูก ๆ ได้ที่ดินแล้วก็ไล่พ่อออกจากบ้านที่เคยอาศัยอยู่กับแม่ตอนยังมีชีวิต ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวยังมีชื่อพ่อเป็นเจ้าบ้าน และเจ้าของบ้าน จากนั้นพ่อก็ไปสร้างกระต๊อบเล็ก ๆ ในที่สาธารณะเป็นที่ซุกหัวนอนอยู่ตัวคนเดียว ขอต่อน้ำต่อไฟมาจากบ้านลูก
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเที่ยงจะไปสูบน้ำออกเพื่อจับปลาในสระของตัวเองไปขาย แต่ถูกลูกต่อว่าและห้ามไม่ให้สูบ ลูกอ้างว่าพ่อไม่มีสิทธิ์ เพราะสระและที่ดินดังกล่าวเป็นของลูก จนเกิดการโต้เถียงกันรุนแรง ถึงขั้นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ลูกไม่พอใจจึงได้ตัดน้ำตัดไฟออกจากกระต๊อบของพ่อ ทำให้ได้รับความเดือดร้อนจึงเข้ามาร้องศูนย์ดำรงธรรมให้ช่วยเหลือ
“รู้สึกเสียใจมากที่ลูกทำกับพ่อบังเกิดเกล้าแบบนี้ ทั้งที่แบ่งที่ดินให้ทำมาหากินแล้ว ก็ยังมาไล่ออกจากบ้าน แถมไม่เคยเหลียวแล หนำซ้ำยังมาตัดน้ำตัดไฟอีก ตอนนี้เดือดร้อนมาก จึงได้มาร้องศูนย์ดำรงธรรมให้ช่วยเหลือด้วย”