26 ก.พ. 63 ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ นายเที่ยง อายุ 80 ปี ชาวบ้านตำบลสะแกซำ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ช่วยเหลือ หลังแบ่งมรดกที่ดินให้ลูกๆ แล้วปรากฎว่าลูกๆ ไม่เหลียวแล ซ้ำยังถูกไล่ออกจากบ้านต้องไปอาศัยเพื่อนบ้านอยู่
นายเที่ยง ได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า เมื่อปี 2557 หลังจากภรรยาเสียชีวิตลงก็เกิดปัญหาภายในครอบครัวเรื่องที่ดินมรดก เนื่องจากมีที่ดินมรดกมีชื่อภรรยาอยู่ 2 แปลง แปลงหนึ่งมีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดินจำนวน 9 ไร่ อีกแปลงเป็น สค.1 เนื้อที่ประมาณ 11 ไร่
โดยแปลงที่เป็นโฉนด ลูก 3 คนจากทั้งหมด 6 คน ไปเดินเรื่องทำพินัยกรรมเพื่อแบ่งที่มรดก ส่วนแปลงที่เป็น สค.1 เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งตนก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดเพื่อแบ่งให้ลูกๆได้ทำมาหากิน เฉลี่ยคนละ 2 ไร่เศษ แต่ในจำนวนนี้เป็นของตนที่ขอเก็บไว้ทำกินเอง 2 ไร่เศษ
และที่ดินดังกล่าวตนก็ได้นำไปปลูกต้นไม้ ทำนา และขุดสระเลี้ยงปลา แต่พอลูกๆ ได้ที่ดินแล้วก็ปรากฏว่ามาไล่พ่อออกจากบ้านที่เคยอาศัยอยู่กับแม่ตอนยังมีชีวิต ทั้งที่บ้านหลังนี้ผมยังมีชื่อเป็นเจ้าบ้านอยู่ ผมจึงต้องออกไปสร้างกระต๊อบเล็กๆ ในที่สาธารณะเป็นที่ซุกหัวนอนอยู่ตัวคนเดียว
แต่ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะไปสูบน้ำออกเพื่อจับปลาในสระเอาไปขาย แต่กลับถูกลูกต่อว่า อ้างว่าพ่อไม่มีสิทธิ์ เพราะสระและที่ดินผืนนั้นเป็นของลูก จนเกิดการโต้เถียงกันรุนแรง ถึงขั้นต้องแจ้งตำรวจเข้าไปช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย ทำให้ลูกไม่พอใจ ตัดน้ำ ตัดไฟ ไล่ตนออกจากกระต๊อบ