วันที่ 27 ก.พ. 2563 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า จากกรณีที่ก่อนหน้านี้นายเที่ยง อายุ 80 ปี ชาวบ้าน ต.สะแกซำ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ให้ช่วยเหลือ หลังแบ่งมรดกที่ดินใหู้ก แล้วปรากฎว่าพวกเขาไม่เหลียวแล ซ้ำยังถูกไล่ออกจากบ้านต้องไปอาศัยเพื่อนบ้านอยู่
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงไปดูพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาทพบว่ามีบ้านอยู่ 3 หลัง หลังหนึ่งเป็นของพ่อที่เคยอาศัยอยู่กับแม่และลูกสาวคนโตตอนยังมีชีวิต ส่วนอีก 2 หลัง ก็เป็นของลูก ส่วนกระต๊อบก็ปลูกอยู่ไม่ห่างจากตัวบ้าน ติดกับสระที่เกิดปัญหาพิพาท แต่ลูก ของคุณตาไม่อยู่บ้านเพราะไปทำงานรับจ้างต่างจังหวัด
จึงได้โทรศัพท์สอบถาม นางเอ (นามสมมติ) ลูกสาวคนโต ซึ่งทำงานอยู่ที่ จังหวัดปราจีนบุรี ก็ได้ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นว่า ลูกทุกคนไม่ได้ทิ้งและไม่มีใครไล่พ่อออกจากบ้านตามที่พ่อร้องเรียนกล่าวหาเลย แต่ยอมรับว่า หลังจากที่แม่ไม่อยู่เมื่อปี 2557 ก็เริ่มมีปัญหาในครอบครัว
เพราะพ่อมาขอเงินจากลูก จะเอาไปขอผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งพ่อไปติดพันอยู่ แต่เธอเห็นว่าแม่เพิ่งจากไปจึงไม่เห็นด้วยที่พ่อจะเอาเงินไปให้กับผู้หญิงคนอื่น พวกเราจึงไม่ได้ให้เงินพ่อไป ก็ทำให้พ่อไม่พอใจและพยายามหาเรื่องมาตลอด
ซึ่งเราเห็นว่าเป็นพ่อก็ไม่ได้โกรธเคือง จึงดูแลพ่อมาตลอดตามกำลังของเราแต่ละคนที่ทำงานรับจ้างหาเงินได้ และช่วงที่ไปทำงานต่างจังหวัดลูกทุกคนก็ส่งเงินมาให้พ่อใช้ทุกเดือน โดยที่ให้หลานชายคอยดูแลตาอยู่ที่บ้าน
ลูกสาวยังยืนยันว่า ไม่มีลูกคนไหนไล่พ่อออกจากบ้านตามที่พ่อกล่าวหา ส่วนที่พ่อไปอยู่ในกระต๊อบเพราะพ่ออยากไปอยู่เอง และบ้านที่ลูกสร้างไว้ พ่อก็สามารถไปอยู่ได้ทุกหลัง ก็ไม่คิดว่าพ่อจะไปร้องเรียนกล่าวหาใส่ร้ายพวกเขา แบบนี้
ตอนนี้ลูกทุกคนเสียใจมากเพราะโดนกระแสโซเชียลต่อว่าต่างๆนานา อยากจะวิงวอนขอความเห็นใจจากสังคมด้วย โดย นางเอ ยังท้าสาบานด้วยว่าหากลูกทุกคน ไม่ดูแลพ่อจริงก็ขอให้มีอันเป็นไป แต่หากลูกดูแลเลี้ยงดูพ่อเป็นอย่างดีก็ขอให้เจริญรุ่งเรือง อยากจะขอร้องให้พ่อหยุดใส่ร้ายพวกเราเพราะไม่ได้เป็นความจริงเลย
ด้าน นายเฉลิม วนรัมย์ ผู้ใหญ่บ้าน บอกว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาพิพาทกันในครอบครัว และเรื่องที่ดินที่ผ่านมาทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ก็ไปไกล่เกลี่ยหลายครั้ง แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ
ส่วนเรื่องที่ตาไปร้องเรียนว่าถูกไล่ออกจากบ้านนั้น ก็ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง เพราะถามพ่อก็พูดอย่าง ลูกก็พูดอีกอย่าง แต่ส่วนตัวในฐานะผู้ใหญ่บ้านก็อยากให้ทั้งพ่อและลูกได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ไม่อยากให้ทะเลาะกัน เพราะยังไงก็พ่อลูกกัน หากเป็นไปได้ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยพูดคุยไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลาย