นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ความว่า จากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย: แผนการสู่อิสรภาพ - ไม่เคยมีใครคิด ไม่เคยมีใครคาดหวัง ไม่เคยมีใครรู้ล่วงหน้า ว่าเหตุการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา จะเป็นตัวจุดชนวนความไม่พอใจของคนจำนวนมากในสังคมให้ระเบิดออกมาเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ(ที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว)
ต่อสภาพการเมืองการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ และสภาพสังคมภายใต้เผด็จการที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน คนจำนวนมากจึงตัดสินใจว่าพวกเขา-พวกเราจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไปและต้องออกมาทำอะไรบางอย่างบ้างแล้ว
ผมไม่กังขาในความสามารถของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนในการต่อโค่นล้มเผด็จการ โดยเฉพาะศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในช่วงนี้ แต่การโค่นล้มเผด็จการที่ฝังรากในสังคมไทยมายาวนานไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นผมจึงเห็นว่าช่วงนี้สำคัญที่สุดที่เราจะมาร่วมกันศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เครื่องมือ เทคนิควิธีการ ในการต่อกรกับเผด็จการและเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย
วันนี้ผมจึงขอแนะนำหนังสือชื่อ “From Dictatorship to Democracy” หรือที่แปลเป็นไทยในชื่อ “จากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย” ของ ยีน ชาร์ป (Gene Sharp) นักวิชาการผู้ที่ศึกษาและเขียนงานจำนวนมากเกี่ยวกับการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
โดยผมถือว่าหากเราอยากอ่านหนังสือสักเล่ม หนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นหนังสือเล่มแรกในรายการหนังสือบังคับอ่านของวิชา “ต่อสู้เผด็จการ101” สำหรับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกที่ยังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการและอยากเปลี่ยนแปลงสังคมตนเอง
อันที่จริง หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาพม่าและอังกฤษในปี 2537 มีการแปลไปให้ผู้อ่านทั่วโลกกว่าอีก 30 ภาษาในปัจจุบัน แต่ประเด็นที่ผมรู้สึกฉงนสนใจมากกว่า ก็คือหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศไทย(เพื่อเป็นองค์ความรู้และเครื่องมือต่อสู้เผด็จการให้กับขบวนการประชาธิปไตยในพม่า)
ซึ่งประเทศไทยในปี 2537 นั้นเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพ มีอนาคตบนเส้นทางอันสดใส เพราะคนไทยสามารถกำจัดเผด็จการได้สำเร็จในปี 2535 และเชื่อว่าการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 นั้นจะเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้านหลายประเทศที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ
แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงวันนี้ เรามีรัฐประหารไปแล้วถึง 2 ครั้ง คือรัฐประหารปี 2549 และ 2557 รวมถึงความขัดแย้งวุ่นวาย และความไร้เสถียรภาพทางการเมืองทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงแข็งแรง นำไปสู่การกลับมาของระบอบเผด็จการ
ซึ่งเผด็จการก็ยังคงสืบทอดอำนาจมาจนถึงปัจจุบันนี้และมีแนวโน้มจะอยู่ยาวไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจชีวิตความเป็นไปของผู้คนในสังคม จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศท้ายๆ ในโลกที่ยังคงมียึดอำนาจรัฐประหารกันอยู่
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไปแล้วถึง 26 ปี สังคมเสื่อมถอยลงในทุกด้านเพราะมรดกตกทอดของการรัฐประหาร เป็นเวลาเหมาะสมยิ่งที่เราได้มีโอกาสอ่านหนังสือแปลเล่มนี้เป็นภาษาไทยอย่างจริงจัง
26 ปีที่ผ่านไปไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้มันล้าสมัย ไม่ทันการณ์ หรือใช้ไม่ได้แล้ว อันที่จริง มันยังคงเป็นคัมภีร์สำคัญในการต่อสู้กับเผด็จการและเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย เพราะแก่นแกนสาระสำคัญของความเป็นเผด็จการและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพนั้นยังคงเป็นจริงนิรันดร์ตราบใดที่ยังมีสังคมมนุษย์ในเอกภพนี้
โดยย่อแล้ว ยีน ชาร์ป เสนอว่ารัฐบาลเผด็จการยังลอยนวลอยู่ได้เพราะประชาชนในสังคมยังยอมให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความกลัว ความเพิกเฉย หรือความนิยมชมชอบในเผด็จการ แต่หากประชาชนรวมตัวกันต่อสู้อย่างกล้าหาญ รอบคอบ และมีวินัย รัฐบาลก็ไม่อาจต้านทานพลังอำนาจของประชาชนได้
ในประวัติศาสตร์มีตัวอย่างของประชาชนที่โค่นล้มเผด็จการจนสำเร็จมามากแล้ว จากตัวอย่างเหล่านี้ ยีน ชาร์ป ได้รวบรวมวิธีการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรงเอาไว้ถึง 198 วิธี แบ่งออกเป็น 2-3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ การจูงใจ สร้างแนวร่วม การหยุดให้ความร่วมมือแก่รัฐบาล และการเข้าแทรกแซงโดยสันติวิธี พร้อมทั้งเสนอข้อควรระวังในสถานการณ์ต่างๆ และแนวทางการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อต่อสู้ด้วย
ผมจึงอยากเชื้อเชิญให้ผู้ที่ต้องการต่อสู้กับเผด็จการและอยากเปลี่ยนแปลงสังคมมาร่วมกันศึกษาองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ และเทคนิควิธีการ เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับเผด็จการสืบทอดอำนาจในปัจจุบัน โดยการอ่านหนังสือเล่มนี้ และนำความรู้ไปพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของเรา โดยหวังว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย-ทางใดทางหนึ่ง
การเรียนรู้ ฝึกฝน อดทนและรอคอย การสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน รวมถึงการสร้างกฎระเบียบวินัยในการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การเคลื่อนไหวก็จะเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ปราศจากจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ไม่มียุทธศาสตร์และยุทธิวิธีที่ชาญฉลาดเพียงพอ อันนำมาสู่ความเสื่อมถอยและล้มเหลวไปในที่สุด
ในสัปดาห์ต่อๆ ไป หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะมาแนะนำหนังสือดีๆ ที่เกี่ยวกับการต่อสู้กับเผด็จการโดยไม่ใช้ความรุนแรงอีกหลายๆ เล่ม (งานนี้พูดไว้ก่อนเลยว่าในสังคมไทยเราก็มีผู้ที่สนใจและมีองค์ความรู้เรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อยเลย แต่เราอาจหลงลืมหรือไม่ได้สนใจมากเท่าที่ควรจนทำให้เรารู้สึกว่าขาดตรงนี้ไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้)
หวังว่าทุกท่านจะอ่านเล่มนี้สนุกจนวางไม่ลง และหวังว่าสักวันใดวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะหลุดพ้นจากเผด็จการและวงจรอุบาทว์ไปได้เสียที