น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ เตรียมเสนอของบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ 2563 วงเงิน 414.20 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อน โครงการสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรเพื่อรองรับผลกระทบจากไวรัสดควิด-19 ยกระดับราคาและปรับสมดุลราคาผลไม้ให้เป็นไปตามกลไกตลาดหลังมีการระบาดของโควิด-19 ในจีนและหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ ทั้งทุเรียน มังคุดและลำไย ที่ขณะนี้ไม่มีออเดอร์จากประเทศคู่ค้า จีน ฮ่องกงและเวียดนาม ที่เป็นตลาดส่งออกของผลไม้ไทยที่มีสัดส่วนมากกว่า 80% ของผลผลิตผลไม้ไทยทั่วประเทศ
ทั้งนี้โครงการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการกระจายผลไม้ของสถาบันเกษตรกร เพื่อให้การระบายผลผลิตออกจากพื้นที่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ป้องกันปัญหาผลไม้กระจุกตัวและล้นตลาด ผ่านเครือข่ายสหกรณ์ทั่วประเทศถึงผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม โดยจะสหกรณ์ที่เป็นแหล่งผลิตผลไม้รวบรวมและกระจายผลผลิตส่งขายให้กับสหกรณ์ที่มีศูนย์กระจายสินค้าและสหกรณ์ขนาดใหญ่ทุกอำเภอทั่วประเทศ ช่วงระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเม.ย. – ก.ย. เบื้องต้นได้ตั้งเป้าหมายในการกระจายผลไม้ผ่านระบบสหกรณ์ 8 หมื่นตัน แบ่งเป็นทุเรียน 4 หมื่นตัน มังคุด 2 หมื่นตัน และลำไย 2 หมื่นตัน
สำหรับเงินอุดหนุน วงเงิน 414.20ล้านบาทแบ่งเป็นค่าบริหารจัดการ 80 ล้านบาท ค่าขนส่ง 160 ล้านบาท ค่าบรรจุภัณฑ์ 85 ล้านบาท และจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ ในจังหวัดใหญ่ อาทิ นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ สงขลา สุราษฎร์ธานี กรุงเทพฯ เป็นต้น รวม 16 จังหวัด วงเงิน จังหวัดละ 5 แสนบาทรวมเป็นเงิน 49.20 ล้านบาท และระดับอำเภอรวม 824 อำเภอ อำเภอละ 5 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 41.20 ล้านบาท
“งบกลางที่จะมาช่วยเหลือจะช่วยเหลือสหกรณ์ต้นทางใช้เป็นค่าบริหารจัดการผลไม้ กิโลกรัมละ 1 บาท ค่าขนส่ง จากแหล่งรวบรวมไปสหกรณ์ปลายทาง กิโลกรัมละ 2 บาท ค่าจัดซื้อบรรจุภัณฑ์ เช่น ตะกร้า กล่อง จำนวน 3.5 ล้านใบ หรือประมาณค่าตะกร้าขนาด 10 กิโลกรัม (ก.ก.) ประมาณ 35 บาท/ใบ และค่าบริหารจัดการของสหกรณ์ปลายทางเพื่อกระจายผลไม้สู่ผู้บริโภคในพื้นที่ กิโลกรัมละ 0.50 บาท และหากให้ประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจให้สมาชิกสหกรณ์ 68,679 รายมีรายได้เพิ่ม 11,512 บาท/ราย มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ 7,644 ล้านบาท คิดเป็น 18.45 เท่าของเงินลงทุนรัฐบาล โดยโครงการนี้จะกระทรวงเกษตรฯจะหารือกันอีกครั้งในคณะกรรมการนโยบายเกษตรและสหกรณ์วันที่ 4 มี.ค.ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป”
สำหรับ ปี 2563 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีปริมาณผลไม้ออกสู่ตลาด รวม 3,072,591 ตัน โดยแบ่งเป็น ทุเรียน ลำไย มังคุด เงาะ ลองกอง และลิ้นจี่ และเมื่อนำผลผลิต 3 ชนิดสำคัญ คือ ทุเรียน ลำไย มังคุดรวมกัน จะมีปริมาณมากกว่า 84% ของปริมาณผลไม้ทั้งประเทศ ซึ่งหากไม่มีมาตรการรองรับ ผลผลิตที่ไม่สามารถส่งออกได้จะกระจุกตัวกลับมาสู่ตลาดในประเทศ ส่งผลทำให้ผลผลิตล้uตลาด ราคาตกต่ำและเกษตรกรประสบปัญหาขาดทุน ขณะเดียวกัน มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ดำเนินธุรกิจรวบรวมผลไม้ 104 แห่ง ใน 31 จังหวัด มีเกษตรกรเป็นสมาชิก 95,321 ราย ปริมาณการรวบรวมผลไม้ ใuปี 2562 ที่ผ่านมา 32,242.53 ตัu มูลค่า 966.173 ล้านบาท และมีการส่งออกผลผลิตทุเรียน มังคุด และลำไย ไปประเทศจีu 12,251.16 ตัน มูลค่า 572.45 ล้าuบาท