สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำเอาหน้ากากอนามัยขาดตลาด มีการขายเกินราคาที่กฎหมายกไหนด จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องออกจับผู้ที่ขายเกินราคา กักตุนหน้ากากอนามัย จับกุมไปได้แล้วหลายราย
โดยล่าสุด 8 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อว่าคุณ Sara Soo ได้โพสต์เรื่องราวหลังจากที่รวบรวมเงินกับเพื่อนแล้วนำไปสั่งหน้ากากอนามัยจากร้านยาแห่งหนึ่ง 25,000 ชิ้น ชิ้นละ 14.5 บาท เป็นหน้ากากอนามัยที่นำเข้าจากเวียดนาม เพื่อที่จะนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาล ได้คุยกับโรงพยาบาลไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ร้านขายยาโดนตำรวจบุกจับแล้วยึดหน้ากากไปหมด ชี้แจงแล้วตำรวจก็ยังไม่คืน ให้ไปฟ้องเอาเงินกับทางร้านขายยาแทน จนเธอต้องนำเรื่องมาโพสต์ผ่านทางเฟสบุ๊ก โดยระบุว่า
วันก่อนน้องสาวเรารวบรวมเงินบริจาคจากเพื่อนๆไปสั่งหน้ากากกับร้านขายยาที่เขานำเข้าหน้ากากจากเวียตนาม 25000 ชิ้น ชิ้นละ 14.5 บาท เพื่อจะเอาไปบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งน้องเราได้ติดต่อรพ.ไว้เรียบร้อย และกำลังจะไปรับหน้ากากจากร้านขายยา แต่!!ปรากฎว่าตำรวจบุกค้นร้านขายยา แล้วยึดหน้ากากไปหมดเลย น้องสาวเราจ่ายเงินไปแล้วเป็นแสนนะ พอไปเคลียที่โรงพักพร้อมให้ดูหลักฐานว่าได้ติดต่อรพ.ไว้แล้ว และโชว์อินสตาแกรมว่าได้มีการรวบรวมเงินจากเพื่อนๆเพื่อจะไปบริจาคจริงๆ ตำรวจก็ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น จะตั้งข้อหาร้านขายยาว่าขายเกินราคาท่าเดียว น้องเราบอกว่าเป็นของนำเข้าและร้านไม่บวกเพิ่มเลยเพราะรู้ว่าจะเอาไปบริจาค ตำรวจก็หันมาบอกว่าถ้างั้นจะตั้งข้อหาน้องสาวเราแทนเพราะมีหน้ากากไว้ครอบครองเกินจำนวน เฮ้อ!! ก็บอกว่าจะเอาไปบริจาคก็ไม่เชื่อ สุดท้ายตำรวจยึดหน้ากากไปเป็นของกลางแล้วไม่คืน แล้วบอกให้น้องเราไปฟ้องเอาเงินคืนกับร้านยาเองเพราะส่งมอบไม่สำเร็จ!! อะไรฟระแบบนี้ก็ได้เหรอ ก็ที่ส่งมอบกันไม่สำเร็จเพราะใครหล่ะ??? แล้วตอนนี้หน้ากากไปอยู่ไหน????
ปล. น้องสาวเราถามตำรวจว่าแล้วหมอกับพยาบาลที่จะได้ใช้หน้ากากวันนี้หล่ะ ไม่คิดถึงบ้างเหรอ?
ตำรวจตอบว่า รพ.ไม่ขาดแคลนหน้ากากสักหน่อย และถ้าอยากบริจาคก็ไปเข้าคิวซื้อกับกรมการค้าภายในที่เขาเอามาขายสิ แบบนั้นถูกกฎหมาย ไม่เกินราคาด้วย .......อ่า...แล้วต้องต่อคิวนานแค่ไหนหล่ะ แล้วจะซื้อ 25000 ชิ้นจะขายมั้ยหล่ะ......เฮ้อ.....
ความคิดเห็นจากชาวเน็ต
จวกตำรวจยับ
ยึดแล้วเอาไปไหน
ถ้าหากว่าชี้แจงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้จุดประสงค์แล้ว ตำรวจก็ควรที่จะคืนหน้ากากให้กับผู้สั่งเพื่อที่จะนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาล เรื่องนี้จะจบยังไง ต้องรอติดตามข่าวกันต่อไป