ในวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 เวลา 09.00 น. ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ในประเทศไทยพบผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสะสม จำนวน 50 คน ประกอบด้วย ผู้ป่วยรุนแรง 1 คน เสียชีวิต 1 คนกลับบ้านแล้วจำนวน 33 คน
ซึ่งมีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสะสมจำนวน 4,528 คน รายใหม่ 10 คน โดยมีผู้เดินทางที่หน่วยคัดกรอง ดังนี้
1. สนามบิน จำนวน 3,415,660 คน
2. ท่าเรือ จำนวน 111,853 คน
3. ด่านพรมแดน จำนวน 1,010,457
4. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จำนวน 87,189 คน
มีผู้เข้ารับบริการรักษาพยาบาล จำนวน 1,799 คน กลับบ้านแล้วจำนวน 2,675 คน และสังเกตุอาการจำนวน 54 คน
อีกทั้งผลการตรวจเชื้อ พบว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา จำนวน 50 คน ไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา 3,651 คน และรอผลการตรวจอีก 1,827 คน
ดังนั้น การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคติดต่อด้วยวิธีการป้องกันหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องสามารถป้องกันเชื้อได้ถึง 80% โดยวิธีการดังนี้
1. ล้างมือให้สะอาด
2. จับที่บริเวณสายคล้องหูของหน้ากากอนามัยทั้ง 2 ข้าง (หากเป็นหน้ากากอนามัยชนิดเยื่อกระดาษให้สังเกตด้านที่มีสัเขียว หรือด้านที่มีลวด ให้หันด้านนั้นออกด้านนอก)
3. ก่อนใส่ต้องให้ลวดอยู่ด้านบนตรงบริเวณจมูก จากนั้นนำสายคล้องเข้ากับหู
4. กดลวดให้แนบกับราวดั้งจมูกเรื่อยมาจนถึงใต้ขอบตา ไม่ให้มีช่องว่างระหว่างหน้ากากกับใบหน้า
5. สวมหน้ากากให้คลุมทั้งจมูกและปาก โดยดึงลงมาให้อยู่บริเวณใต้คาง
6. ระหว่างสนทนากับผู้อื่นไม่ต้องถอดหน้ากาก
7. การรับประทานอาหารหรือน้ำให้จับบริเวณด้านบนของหน้ากากอนามัยดึงลงมาไว้ใต้คาง ก่อนดึงกลับขึ้นไปใหม่
8. ต้องเปลี่ยนหน้ากากเมื่อเปรอะเปื้อน หรือเปียกชื้นในแต่ละวัน อาจใช้หน้ากากอนามัย 2-3 ชิ้น
9. การถอดหน้ากากอนามัยหลังใช้งาน ต้องจับบริเวณสายคล้องหูแล้วปลดออก
10. หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษใช้แล้วทิ้ง และถ้าเป็นแบบผ้าสามารถซักแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
11. การทิ้งหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว ควรใส่ถุงพลาสติกก่อนทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิด เพราะถือเป็นขยะติดเชื้อที่ต้องกำจัดอย่างมิดชิด จากนั้นล้างมือให้สะอาด