ในยามที่หน้ากากอนามัยกลายเป็นของหายากยิ่งกว่าน้ำในทะเลทราย แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่สุด มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุด และเป็นกลุ่มที่มีความต้องการหน้ากากอนามัยมากที่สุด กำลังจะไม่มีหน้ากากอนามัยใช้ เรียกว่าวิกฤตสุด ๆ ขาดแคลนสินค้า ขาดแคลนวัตถุดิบมาผลิต ส่วนพวกที่มีของไว้ในครอบครอง กลับแสดงความเห็นแก่ตัวด้วยการกักตุนสินค้าไว้ขึ้นราคาขาย กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ในประเทศกำลังลำบาก
แต่ประเทศไทยไม่เคยถึงทางตัน ที่สุดก็มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อเอกชนรายใหญ่อย่างซีพีกระโดดเข้ามาได้ถูกจังหวะเวลา โดยเจ้าสัวธนินท์ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า เมื่อปัญหาเกิดจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ก็ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด จะใช้ศักยภาพขององค์กรจัดหาวัตถุดิบจากทั่วโลกมาผลิตหน้ากากอนามัย โดยจะลงทุนอย่างน้อย 100 ล้านบาท เนรมิตโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อแจกจ่ายฟรีให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนผู้ไม่มีโอกาสเข้าถึงสินค้า โดยขอเวลาจัดการติดตั้งเครื่องจักรในโรงงานประมาณ 5 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากเข้าสู่ภาวะปกติ โรงงานนี้จะยังดำเนินการต่อ โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะมอบให้กับศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกณ์ สภากาชาดไทย
เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจไทยทั้งชาติ แม้จะใช้เวลานานไปนิด แต่ก็ให้ความหวังที่ยิ่งใหญ่อยู่
ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์นี้ก็บอกกับเราอย่างหนึ่งว่า ความร่วมมือร่วมใจกันเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะลำพังกำลังของภาครัฐอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะขาดทรัพยากรที่สำคัญ ระยะสั้นจึงทำได้เพียงตั้งกองทุนเปิดบัญชีรับบริจาค แต่ไม่ใคร่จะเหมาะสมในยามที่ประชาราษฎร์ขาดรายได้ เพราะต้องตกงานหรือหยุดงานจากภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น จึงต้องอาศัยพลังของภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันผลักดัน ให้เกิดการแก้ไขปัญหา ใครเก่งอะไรก็เอาความเก่ง เอาศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม ในยามนี้จึงต้องเรียกว่า เอกชนเอื้อรัฐ
แต่เพียงซีพีองค์กรเดียวคงไม่พอและไม่ทันใจ ยังแก้ปัญหาได้ไม่ทั่วถึง ถ้ามีองค์กรอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันมากขึ้นอีก ก็เชื่อว่าเราจะพากันฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกันได้สำเร็จ ซึ่งตอนนี้ก็มีหลายองค์กรที่เริ่มทยอยออกมาช่วยกันบ้างแล้ว ทั้งองค์กรขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เป็นต้นว่า
เมืองไทยประกันภัย ของมาดามแป้งคนสวย ที่ก่อนหน้านี้ประกาศมอบกรมธรรม์ประกันเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ให้แก่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และพยาบาลของสถาบันบำราศนราดูร
ไทยเบฟเวอเรจ ของเจ้าสัวเจริญ ก็มอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากแอลกอฮอล์ ให้แก่สถาบันบำราศนราดูร
เอ็มเค เรสโตรองต์ มอบหน้ากากอนามัย ให้โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น รวม 90,000 ชิ้น
ล่าสุด ฟากฝั่งรัฐบาลก็ขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากภาคเอกชน โดยกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างประสานกับ 11 โรงงาน เพื่อเร่งรัดกำลังการผลิต โดยให้เปลี่ยนไลน์การผลิตจากการผลิตสินค้าชนิดอื่นมาผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน ขณะที่ครม.ก็อนุมัติบีโอไอให้สิทธิประโยชน์แก่ภาคเอกชนในการก่อสร้างโรงงานหน้ากากอนามัยครบวงจร เพื่อจูงใจให้เอกชนหันช่วยกันดำเนินการ
จะเห็นว่า ความร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ละฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนเอง ในวิกฤตที่มีแต่ความหดหู่ ก็จะมีประสบการณ์ดี ๆ ไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติได้เล่าให้ลูกหลานได้ฟังกันอีกยาวนาน