โดยล่าสุดในวันนี้ (13/03/2563) เมื่อเวลาประมาณ 6.00 น. ลุงเสรี ได้เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านเกิดจังหวัดราชบุรี ด้วยโรคประจำตัว สิริอายุรวม 76 ปี ซึ่งทางครอบครัวจะบำเพ็ญกุศลศพสวดพระอภิธรรมที่บ้านพักในอำเภอบ้านโป่งเป็นเวลา 3 คืน ก่อนจะมีพิธีฌาปนกิจศพที่วัดปลักแรด ต.เบิกไพร อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และในวันนี้จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 15.00 น.
สำหรับ ลุงเสรี เป็นชาวบ้านโป่งโดยกำเนิด ในสมัยเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่ในแม่น้ำแม่กลอง เก็บเงินในเรือข้ามฟาก ในวัยเด็กได้เรียนหนังสือแค่ป. 2 ต้องออกจากโรงเรียน ปัจจุบันแกอาศัยอยู่กับหลานสาว แต่ก็แยกส่วนอยู่อย่างสันโดษโดยอาศัยชั้นบนของบ้านที่เก่าทรุดโทรมที่แทบจะไม่มีใครได้ขึ้นไปเยี่ยมกรายเลย เพราะลุงเสรีประกาศเป็นเขตหวงห้ามเข้าได้เฉพาะตัวเองเท่านั้น ผู้คนในละแวกนั้นต่างก็สงสัยในความลึกลับกับพฤติกรรมของแกแต่ก็ไม่มีใครกล้าย่ำกรายเข้าเฉียดใกล้
ลุงเสรีเป็นคนไม่มีอาชีพที่ตายตัว แต่ก็มีข้าวปลาอาหารให้กินอิ่มทุกมื้อ บนร่างกายไม่เคยมีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว ทุกวันแกไม่เคยมีเรื่องกลุ้มใจกับสิ่งใดเลย ลุงเสรีบอกว่า “ไม่เคยมีเรื่องกลุ้มใจ ในชีวิตมีเพียงกางเกงตัวเดียว ก็อยู่ได้ และทุกคนไม่มีบุญหรอก มีแต่กรรมกันทุกคนเพียงแต่มีคนละแบบ แต่คนอื่นมีกรรมมากกว่าผม เพราะต้องกระเสียกกระสนทำมาหากิน แต่ลุงไม่ต้องกระเสียกกระสนอะไร ไม่อยากได้อะไร ให้มีกางเกงปิด…มีข้าวกินก็พอ”
ลุงเสรีขึ้นชื่อว่า เป็นคนดังของบ้านโป่งก็ว่าได้ ไม่ว่าด้วยเอกลักษณ์การแต่งตัวด้วยกางเกงนักเรียนขาสั้นสีน้ำตาลเก่าๆ ไม่สวมเสื้อ แต่เอกลักษณ์ที่สำคัญคือการพูดที่ฟังดูอาจจะหยาบคายเสียจนคนอย่างเราๆ บางคนอาจทนฟังไม่ไหว ภาษาดอกไม้ไม่เคยได้มีโอกาสหลุดลอดออกจากปากลุงเสรีได้เลย แต่สำหรับชาวตลาดบ้านโป่งถือว่านี่คือเรื่องปกติ เพราะชาวบ้านโป่งตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดง จนอาเสี่ยอาเฮียแทบจะทุกคนก็ว่าได้ต่างก็รู้ซึ้งกับกิติศัพท์เรื่องภาษาพูด และกิริยาที่ดูจะหยาบช้าของแกเป็นอย่างดีไม่เว้นแม้กระทั่งพระ แกบอกว่า ตั้งแต่จำความได้ก็พูดแบบนี้มาตลอด เคยโดนพ่อตบฟันร่วงก็ไม่เลิก สุดท้ายพ่อก็ต้องยอม แกก็ไม่เห็นว่าการพูดของแกจะทำให้ใครเดือดร้อนอะไร
ทุกวันลุงเสรีจะไปช่วยงานบุญ งานศพ งานวัดไม่ว่าวัดไหนต้องการอะไรให้บอกลุงเสรี งานศพไหนต้องการอะไร วัดไหนต้องการผ้าป่า ต้องการสร้างอาคาร ให้บอกลุงเสรี บ่อยครั้งที่ลุงเสรีเดินลากรถสาลี่เก่าๆ ไปตามบ้าน ตามตลาดเพื่อขอเรี่ยไรธูปเทียน เครื่องสังข์ภัณฑ์เพื่อไปถวายวัด และที่สำคัญคือชาวบ้าน แม่ค้า เจ้าของร้านทอง ในตลาดบ้านโป่งต่างก็ยินดีที่จะช่วยทำบุญ โดยไม่มีใครปฏิเสธและไม่สงสัยเลยว่าแกเอาไปทำจริงหรือเปล่า หรือไม่ต้องการอะไรที่เกี่ยวกับวัด แต่ลุงเสรีก็ไปช่วยล้างจาน เก็บกวาด หยิบโน่นหยิบนี่ ทุกอย่างที่แกทำแกไม่ต้องการค่าจ้างเป็นเงินสักบาทเดียว เพียงแต่แกจะกินข้าวจนอิ่มเสร็จงานก็จะกลับ
ชีวิตของลุงเสรีคาบเกี่ยวอยู่กับพรมแดนความดี กับความบ้า ก้ำกึ่งระหว่างความขาดกับความเกิน มีทั้งหยาบช้ากับความน่านับถือ ที่มาอยู่รวมกันได้อย่างไม่น่าเชื่อในตัวของคนคนเดียว อย่างลุงเสรี เรียกได้ว่าไม่มีคำว่าพอดีในชีวิตของคนๆ นี้ตั้งแต่จำความได้มาจวบจนทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือ คนที่ชาวตลาดบ้านโป่งให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า ลุงเสรี แกเป็น “เป็นคนดีจริงๆ”