ในเฟซบุ๊ก Santi G Lawyerlife โพสต์์ข้อความระบุว่า COVID19 ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด…ถ้ารัฐบาลกล้ายอมรับความจริง!!ถ้าอยากรู้ว่าผู้ป่วยCOVID19 รุ่นแรกๆของประเทศนี้เป็นยังไงก็อ่านให้จบนะคับ อาจจะยาวหน่อยแต่มันเป็นเรื่องจริง #ผนงรจตกม ผมคือผู้ติดเชื้อCOVID19คนหนึ่งที่ไม่แสดงอาการใดๆ ไม่ป่วย ไม่มีไข้ ไม่ไอ ไม่จาม ไม่อ่อนเพลีย ไม่ปวดเมื้อยตัว ไม่เหนื่อย ไม่ท้องเสีย ร่างกายเป็นปกติมาก (ถ้าไม่ตรวจเจอเชื้อคงไม่มีทางคิดว่าตัวเองติดCOVID19) ผมจะบอกว่าถ้าใครมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงโรคนี้มันจะทำอะไรร่างกายคุณไม่ได้แน่นอนไม่ต้องวิตกกังวลกับมันให้มากจนเกินไป…แต่ แต่ แต่!! หากคุณกลายเป็นผู้ป่วยCOVID19 ในประเทศนี้คุณอาจเจอประสบการณ์แบบที่ผมเจอก็ได้…!!
1.รัฐบาลให้ข่าวกับประชาชนไม่ตรงกับความจริงเลย!!…เริ่มตั้งแต่การแถลงข่าวว่ากลุ่มพวกผม 11 คน ติดเชื้อจากเพื่อนชาวฮ่องกงเพราะว่ามีเพื่อนชาวฮ่องกงบินมาเที่ยวเมืองไทยแล้วป่วยแต่ยังออกไปสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนคนไทย 2 ครั้ง (ย่านทองหล่อ) เมื่อวันที่ 27/02 และ 29/02 โดยมีพฤติกรรมคือกินเหล้าและสูบบุหรี่ม้วนเดียวกันจึงทำให้เชื้อแพร่ระบาดมาจากชาวฮ่องกง (เหมือนจะอยู่ในระดับ2)…แต่ความจริงแล้วพวกผมไม่รู้จักและไม่เคยเจอชาวฮ่องกงตามที่เป็นข่าว แต่เท่าที่คุยกันในกลุ่มพอจะสรุปได้ว่า มีเพื่อนของเพื่อน (สมมุติว่าชื่อ A) ไปเจอคนฮ่องกงมาเมื่อประมาณวันที่ 21 ก.พ. แล้ว A ก็มากินข้าวที่บ้านเพื่อนผม (สมมุติว่าชื่อ B) เมื่อวันที่ 27/02 ซึ่งต่อมา B มาเจอกลุ่มผมวันที่ 29/02 ซึ่งในวันนั้น A ที่เป็นเพื่อนกับคนฮ่องกงก็ไม่ได้มาสังสรรค์ด้วย เพราะกลุ่มที่สังสรรค์กันทั้งวันที่ 27/02 และ 29/02 นั้นเป็นคนละกลุ่มไม่รู้จักกัน ซึ่งทั้งสองกลุ่มไม่รู้จักและไม่เคยเจอกับชาวฮ่องกงตามที่เป็นข่าวเรย นอกจากนั้นวันที่ 29/02 ที่ผมไปเจอเพื่อนๆ ในกลุ่มนั้นขอยืนยันว่าในวันนั้นไม่มีใครในกลุ่มป่วยหรือแสดงอาการใดๆ…ดังนั้นจะเห็นว่าพวกผมทุกคนต้องได้รับเชื้อมาจากมาจากเพื่อนคนไทยด้วยกันและเป็นการแพร่ระบาดแบบเป็นกลุ่มเป็นก้อน ซึ่งในการแพร่เชื้อนั้นมันไม่จำเป็นต้องมีใครป่วยหรือแสดงอาการใดๆ แต่รัฐบาลกลับแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่าพวกผมได้รับเชื้อมาจากชาวฮ่องกงซึ่งเป็นต่างชาติ เพราะรัฐบาลไม่กล้ายอมรับความจริงว่า ณ เวลานั้นเมื่อวันที่ 29/02 มีการแพร่ระบาดกันระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกันแล้ว และประเทศไทยได้เข้าสู่การแพร่ระบาดระดับ 3 แล้วตั้งแต่ตอนนั้น อีกความจริงก็คือทุกคนในกลุ่มผมวันที่ 29/02 ไม่มีใครมีประวัติเคยสัมผัสหรือใกล้ชิดกับชาวต่างชาติเลยแม้แต่คนเดียว
…หลังจากตรวจพบว่าติดเชื้อแล้ว(11/03)ผมก็ถูกส่งตัวเข้ามารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูรซึ่งเป็น รพ. หลักของกระทรวงสาธารสุขเกี่ยวกับโรคระบาดแพร่เชื้อโดยเฉพาะซึ่งขณะนั้นยังมีผู้ติดเชื้อที่ต้องอยู่ รพ. ประมาณ 30 กว่าคนทั่วประเทศซึ่งจำนวนผู้ป่วยแค่ 30 กว่าคน หากดูจากความพร้อมที่รัฐบาลแถลงข่าวหรือนายกมาพูดออกทีวีเรื่องแค่นี้คงจะเป็นเรื่องสบายมากสำหรับคนในประเทศนี้
…แต่ความเป็นจริงที่ผมต้องเจอหลังจากถูกส่งตัวมาที่ บำราศฯ มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดอะดิ ในวันแรกๆ จะมีจนท. จากหน่วยงานต่างๆ โทรมาซักประวัติโน้นนั่นนี่หลายสายมาก ถามคำถามเดียวกันจนผมงงว่า “อยู่ในกระทรวงเดียวกันคุณไม่แชร์ข้อมูลกันเลยหรอ?” แม้กระทั่งเมื่อวานผมอยู่ รพ. มา 9 วันแล้วยังมี จนท. โทรมาถามผมอีกว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน? admit รึยัง? มีคนซักประวัติไหม?…เอ่อมมมม!! คือข้าพเจ้าเล่าประวัติไปไม่รู้กี่รอบแล้วครัชชชช อยู่จนจะออกจาก รพ. แล้วยังโทรมาถามอีก555
…10 วันที่อยู่ในบำราศฯ ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในแดนสนธยาหรืออาจเป็นเพราะพวกผมเข้ามา admit โดยที่ไม่มีอาการใดๆ ทุกคนในห้องที่อยู่ด้วยกันไม่มีใครได้รับยาหรือการรักษาใดๆ นอกจากได้ยานอนหลับคนละเม็ดก่อนนอนกับอาหารวันละ 3 มื้อ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 11/03 จนถึงวันนี้ 20/03 เป็นเวลา 10 วันเต็มๆ ที่เข้ามา admit ผมยังไม่เคยได้เจอหมอเลยสักครั้งเดียว ไม่มีแม้แต่คำวินิจฉัยโรคจากหมอที่จะทำให้ผมเข้าใจโรคที่ผมกำลังเป็นมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่โรคนี้มันกำลังระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลกในตอนนี้ แต่ผมกลับไม่รู้แม้กระทั่งว่าผมกำลังอยู่ในระยะไหนของโรค เชื้อมันกำลังฟักตัว หรือมันกำลังจะแสดงอาการหรือว่ามันกำลังจะหาย รู้แค่ว่าอยู่ๆ ไปรอเชื้อหมดก็กลับบ้านได้ อยู่แบบที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสใดๆ ไม่มีแม้แต่คำแนะนำว่าระหว่างอยู่ในนี้จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเชื้อจึงจะหายไวขึ้น แล้วการอยู่รวมกันหลายคนในห้องจะส่งผลอะไรกับปริมาณเชื้อในร่างกายไหม?
…ชีวิตประจำวันคือการอยู่เฉยๆ กินๆ นอนๆ รอตรวจเชื้อและเจาะเลือดวันเว้นวัน ถ้าตรวจไม่เจอเชื้อ 2 ครั้งติดกันก็กลับบ้านได้ แต่ปกติการตรวจเชื้อคือการเอาไม้เข้าไปเก็บเนื้อเยื้อในโพรงจมูกและลำคอเพื่อนำไปตรวจ แต่พวกผมเป็นกรณีพิเศษที่ต้องเจาะเลือดด้วย พวกเราจึงสงสัยว่าทำไมต้องเจาะเลือดทุกครั้งที่เก็บเชื้อ เพื่อนคนหนึ่งมีโอกาสได้ถามหมอผ่านทางโทรศัพท์ว่าเจาะเลือดไปทำไมคำตอบที่ได้คือ “ผอ.สั่งให้เจาะ” ได้ยินคำตอบแล้วแบบว่า….(มึงเป็นหมอจริงป่าวเนี้ย)
…เนื่องจากพวกเราจะต้องตรวจเชื้อกันวันเว้นวัน ผลการตรวจจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอยว่าจะเป็นNegเมื่อไหร่ แต่ในช่วงอาทิตย์แรกก็ยังไม่มีใครเป็นNegสักที มีแต่พยาบาลมาบอกผลว่าคนนั้นมีเชื้อน้อยแล้ว คนนี้ยังมีเชื้อเยอะอยู่ ซึ่งพวกผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเชื้อเยอะกับเชื้อน้อยมันคืออะไรและมีผลยังไงต่อร่างกาย จนกระทั่งคืนหนึ่งเวลาประมาณ 1.00 น. ย้ำว่าเวลาตีหนึ่ง! มีพยาบาลมาบอกให้น้องคนหนึ่งในกลุ่มย้ายเตียงไปอยู่ห้องเดี่ยวเพราะมีเชื้อน้อยแล้วควรแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว พยาบาลให้น้องเก็บของจากห้องเดิมตอนตีหนึ่งแล้วออกไปนั่งรอในห้องอะไรสักอย่างคนเดียวจนเกือบตีสี่น้องถึงจะได้เตียงใหม่(ห้องเตียงเดี่ยว)ย้ายคนไข้กลางดึกว่าแย่แล้วนะ แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นพยาบาลก็ให้น้องคนเดิมย้ายเตียงอีกครั้งแต่คราวนี้กลับให้น้องย้ายไปนอนห้องรวมแบบ 3 เตียง ซึ่งไม่ใช่พวกผมแถมอีก 2 เตียงดูมีอาการหนักกว่าพวกผมมาก พวกเราก็เริ่มสงสัยแล้วว่าสรุปผลตรวจเชื้อมากหรือเชื้อน้อยมีผลยังไง เพื่อนผมจึงถามหมอตอนที่คุยโทรศัพท์ว่าผลออกมามีเชื้อเยอะกับเชื้อน้อยว่ามันคืออะไร หมอตอบแบบกระแทกเสียงกลับมาว่า “ไม่มีหรอกเชื้อมากเชื้อน้อย…มีแต่เจอเชื้อกับไม่เจอเชื้อ…พวกคุณไม่ต้องรู้มากหรอกรู้แค่นี้พอแล้ว!!” WTF! นี่หรือคือคำตอบของคนที่มีจรรยาบรรณาแพทย์ จึงสรุปได้ว่าเรื่องเชื้อเยอะเชื้อน้อยน่าจะเป็นนิทานเพื่อย้ายคนไข้เวลาที่ต้องการเตียงตามที่ผู้ใหญ่สั่งมาเท่านั้น
…ความมืดมนในแดนสนธยายังไม่จบแค่นั้น พอเข้ามา admit พวกเราก็รอว่าหมอจะจ่ายยารักษาโรคอะไรให้พวกเรากินบ้างแต่ในวันแรกๆ ก็ไม่มีการจ่ายยาใดๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนเตียงข้างๆ ผมได้กินยาอยู่คนเดียวในห้อง คือยาแก้ไอและลดน้ำมูก ทำให้พวกเราในห้องงงกันหมดว่าทำไมถึงได้กินยาคนเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไอและก็ไม่ได้ขอยาด้วย เพื่อนก็กินไปแบบงงๆ ตอนนั้นพวกเราก็คิดไปว่า…สงสัยหมอคงดูจากฟิลม์เอ็กเซอร์เรยมั้ง? เพื่อนอีกคนเห็นว่าเพื่อนได้ยาแก้ไอเลยโทรไปขอยาแก้ไอกับพยาบาลบ้าง (โทรตอนกลางวัน) คืนนั้นพยาบาลถือยาเข้ามาในห้องแล้วเอามาให้เพื่อนคนเดิมที่ได้ยาไปแล้วเพราะพยาบาลเข้าใจว่าเพื่อนคนเดิมขอยาแก้ไอเพิ่ม เพื่อนที่ได้ยาแล้วก็บอกว่าเค้าไม่ได้ขอเพิ่ม เพื่อนเตียงตรงข้ามเป็นคนขอเพราะเค้ามีอาการไอ พวกเราเลยบอกงั้นก็เอายาแก้ไอไปให้เพื่อนคนที่เค้าไอกินสิ พยาบาลบอกว่า “ไม่ได้!!…ต้องถามหมอก่อน” พวกเราก็เริ่มงงว่าทำไมไม่ได้ในเมื่อคนที่ขอเค้าก็ไออยู่จริงๆ พอถามไปถามมาพยาบาลพูดตัดบทกลับมาว่า “กินไม่ได้หรอกนี่มันยาลดน้ำมูกไม่ใช่ยาแก้ไอ..เด๋วไปขอหมอให้ใหม่” WTF!! ตอนถือเข้ามาบอกเป็นยาแก้ไอถือไปถือมากลายเป็นยาลดน้ำมูกซะอย่างงั้น อิหยังว่ะ?? สรุปคืนนั้นเพื่อนก็ไม่ได้กินยาแก้ไอที่ขอนะ เพื่อนบางคนขอยาแก้ไอวันนี้ได้ยาอีกทีก็พรุ่งนี้เที่ยงหรือไม่ก็เย็นๆ อีกวันหนึ่งเลย นี่แค่ยาแก้ไอนะทำไมมันหายากจัง หนักกว่านั้นก็แปะชื่อคนไข้ที่ซองยาผิดไปเลยจร้าาาาา คนไข้ก็กินกันผิดวนไปแบบงงๆ
…จนถึงวันนี้ผมยังคงไม่ได้เจอหมอหรือได้รับคำแนะนำใดๆ จากสถานบาลแห่งนี้นอนรอตรวจเชื้อไปวันๆ แบบงงๆ ว่าสรุปจะต้องตรวจผลที่ บำราศฯ และ กรมวิทย์ฯ ทั้งสองที่แล้วเป็นลบถึงจะได้ออก แต่ระหว่างรอผลจากกรมวิทย์ฯ พยาบาลก็มาบอกว่าต้องรอผลที่บำราศฯ เป็นลบก่อนถึงจะส่งผลไปตรวจที่กรมวิทย์ฯ สรุปคือส่งไปพร้อมกันทั้งสองที่หรือว่าส่งตรวจทีละที่จนถึงวันนี้ 10 วันแล้วผมยังไม่รู้เลยว่ายังไง เพราะพยาบาลคนหนึ่งพูดอย่างอีกคนพูดอย่าง ส่วนหมอไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่พูดไม่คุยอะไรสักอย่าง
คหสต.
“สงสารคนไทยและประเทศไทยที่มีผู้นำที่สามารถจัดการปัญหาได้แค่นี้”#ถ้าอยากให้ประเทศนี้ดีขึ้นช่วยกันแชร์ให้เสียงนี้ไปถึงผู้มีอำนาจด้วยนะครับ ปล. ถ้าที่ผมโพสไปมันทำให้ภาพลักษณ์หรือหน้าตาของหน่วยงานราชการใดเสียหายแล้วอยากจะฟ้อง พรบ. คอมฯ หรือหมิ่นประมาทผมเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้กับรัฐบาลก็จัดมานะ เพราะผมออกมาเล่าเรื่องนี้เพราะอยากเห็นมาตรฐานการดูแลและรักษาผู้ป่วยCOVID19 ในประเทศนี้ขึ้นกว่านี้ ผมกำลังจะหายแต่ยังมีอีกหลายคนที่กำลังจะเป็นผู้ติดเชื้อและคนเหล่านั้นควรได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีกว่าที่ผมเจอ#ไม่กลัวแล้วCOVID19 #กลัวคนไทยตายกันหมด #เพราะมีรัฐบาลเป็นโคมากกว่า