กรณีนายรวย โพนรัมย์ อายุ 57 ปี พาน.ส.สุนันท์ หะพินรัมย์ อายุ 54 ปี เมียชาว ต.ศรีภูมิ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ไปที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองบุรีรัมย์ วานพนักงานเปล กดเงินที่ลูกสาวโอนมา 5,800 บาท เนื่องจากทั้งสองกดเอทีเอ็มไม่เป็น พบเงินเหลือติดบัญชี 1,000 กว่าบาท ส่วนอีก 5,000 ถูกกดไปก่อนหน้า นำหลักฐานแจ้งความตำรวจ และสื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง ยกมือไหว้ทั้งน้ำตาหากแอบกดไปจริงขอให้เอามาคืน เพราะไม่มีเงินซื้อนมให้หลานกิน เรื่องนี้ น.ส.สุนันท์ ยังคงกล่าวยืนยันแบบเดิมว่า อยากให้ช่วยตรวจสอบ เนื่องจากเงินในบัญชีหายไปจำนวน 5,000 บาทจริง หลังจากวานให้พนักงานเปล ของโรงบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เอาบัตรเอทีเอ็ม ไปกดเงินที่ลูกสาวโอนมาให้ เพื่อมาเป็นค่ารถกลับบ้าน หลังจากหาหมอเสร็จ
ป้าสุนันท์ ซึ่งนั่งรถเข็น เล่าให้ฟังว่า ตนเองไปหาหมอมาประมาณ 7 ปีแล้ว ต้องไปบ่อยๆที่โรงบาลในตัวเมืองบุรีรัมย์สัปดาห์ละ 3 วัน แต่ที่ผ่านมาก็ยังพอนั่งรถไฟไปที่โรงบาลเองได้ แต่เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน ได้ประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม ทำให้ไม่สามารถเดินไปมาเองได้ ต้องใช้รถเข็น หลังจากนั้นทาง อบต.ศรีภูมิ ได้ให้รถกู้ชีพมาช่วยบริการรับ-ส่ง ไปโรงบาลในตัวเมือง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะฐานะยากจน
กระทั่งวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ไปตามหมอนัดที่โรงบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ระหว่างทางลูกสาวได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าโอนเงินมาให้จำนวน 5,800 บาท เพื่อเอาไปใช้หนี้ค่านมหลานสาววัย 2 ขวบ เพราะค้างค่านมกับร้านในหมู่บ้านเอาไว้ อีกส่วนหนึ่งให้เอาไปเป็นค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว โดยหลังจากหาหมอเสร็จ ตนซึ่งเดินไม่ได้ส่วนสามีก็กดเอทีเอ็มไม่เป็น จึงวานให้เจ้าหน้าที่ใน รพ. ซึ่งมาทราบภายหลังว่า เป็นพนักงานเปล ช่วยไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ซึ่งตั้งอยู่หน้าโรงบาลให้ จากนั้นไม่นานพนักงานคนดังกล่าว ก็เดินกลับมาบอกว่าเงินในบัญชีมีแค่ 1,000 บาทเท่านั้น
ตอนนั้นรู้สึกแปลกใจ จึงให้สามีเดินไปกับพนักงานคนดังกล่าวอีกรอบ เพื่อไปดูว่าเงินในบัญชีมีแค่ 1,000 บาทจริงหรือไม่ เพราะลูกสาวโทรมาบอกว่าโอนมาให้ 5,800 บาท พอสามีเดินกลับมาอีกทีก็บอกว่ามีเงินเหลือบัญชี 1,087 บาทจริง จึงให้พนักงานคนดังกล่าวช่วยกดถอนออกมา 1,000 บาท ทำให้เหลือเงินติดบัญชี 87 บาท ป้าสุนันท์ กล่าวและว่าด้วยความคาใจ จึงได้โทรศัพท์กลับไปสอบถามลูกสาวอีกรอบ ว่าโอนเงินมาให้เท่าไร ลูกสาวก็ยืนยันว่าโอนมาให้ 5,800 บาท พร้อมส่งสลิปมาให้ดูเป็นหลักฐานด้วย ดังนั้นหากลูกสาวโอนเงินมาให้ 5,800 บาท บวกกับเงินในบัญชีที่มีอยู่ 287 บาท ก็น่าจะต้องมีเงินอยู่ในบัญชี 6,087 บาท
หลังจากนั้นจึงให้หลานที่บ้านเอาสมุดบัญชีธนาคาร ไปปรับเช็กที่ธนาคารออมสิน ก็พบว่ามีการกดเงินออกไป 2 ครั้ง ครั้งแรก 5,000 บาท ครั้งที่สอง 1,000 บาท ทิ้งระยะห่างกันประมาณ 10 นาที ตนจึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ ไว้เป็นหลักฐาน และอยากให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าใครกันแน่ที่เป็นคนกดเงินไป ส่วนตัวไม่ได้เจตนาจะโทษพนักงานคนนั้น ว่าเป็นคนกดเงินไป แต่วันนั้นก็ไม่มีใคร เพราะสามีก็กดเงินไม่เป็น และวานให้คนคนเดียวคือพนักงานเปลไปกด
ป้าสุนันท์ เล่าให้ฟังด้วยว่าเงินจำนวนดังกล่าวสำคัญกับครอบครัวมาก เพราะต้องเอาไปใช้หนี้ค่านมร้านค้าในหมู่บ้านที่เซ็นมาให้หลานสาวกิน และเก็บไว้ซื้อข้าวกิน เพราะตัวเองก็ป่วยทำงานไม่ได้ รอแต่เงินที่ลูกสาวซึ่งทำงานอยู่กรุงเทพฯ จะส่งมาให้ครั้งละ 1,000 ถึง 2,000 บาท ก็มีครั้งนี้ที่ส่งมาเยอะหน่อย 5,800 บาท เพราะต้องเอาไปจ่ายหนี้ค่านมหลาน จึงอยากจะวิงวอนหากเอาไปจริงก็ขอเอามาคืน เพราะตอนนี้ไม่มีเงินติดบ้านที่จะใช้จ่ายเลย
หลักฐาน มีเงินโอนเข้าบัญชี 5,800 บาท
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปที่ ร.ต.อ.อนุเปรม ทุมนานอก รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ร้อยเวรเจ้าของเรื่อง ซึ่งยืนยันว่า ได้เรียกผู้ต้องสงสัย ที่ถูกระบุ เข้ามาสอบถามข้อมูล โดยผู้ต้องสงสัยให้การว่าไม่รู้ไม่เห็น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกดเงิน จำนวน 5,000 บาทไปจากบัญชีของป้าสุนันท์ แต่อย่างใด ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ประสานไปยังธนาคารเจ้าของบัญชี เพื่อขอตรวจสอบข้อมูลและกล้องวงจรปิด เพื่อหาสาเหตุ ซึ่งหากพบว่า มีผู้กดเงินจากบัญชีของคุณป้าไป ตามที่คุณป้ากล่าวอ้าง ก็จะนำตัวมาดำเนินการอย่างแน่นอน