สัตว์รอส่วนบุญมีอยู่ พึงอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ
....เปรตพวกนั้น พากันไปยืนที่นอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยหวังว่า
วันนี้พวกเราคงได้อะไรกันบ้าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำโดยอาการที่เปรตพวกนั้น จะปรากฏแก่พระราชาหมดทุกตน.
พระราชาถวายน้ำทักษิโณทก (ถวายน้ำเป็นทาน) ทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา. ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดารดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่เปรต พวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็อาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้น
ระงับความกระวนกระวายความลำบากและหิวกระหายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง.
ลำดับนั้น พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินเป็นต้น แล้วทรงอุทิศ.
ในทันใดนั้นเอง ข้าวยาคูของเคี้ยวและของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น.
เปรตพวกนั้น ก็พากินบริโภคของทิพย์เหล่านั้น มีอินทรีย์เอิบอิ่ม.
ลำดับนั้น พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะ (ที่อาศัย) เป็นต้น ทรงอุทิศให้
เครื่องอลังการต่าง ๆ มีผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาดและที่นอนเป็นต้น ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. สมบัติแม้นั้นของเปรตพวกนั้น ปรากฏทุกอย่างโดยประการใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงอธิษฐาน (ให้พระราชาทรงเห็น) โดยประการนั้น. พระราชาทรงดีพระทัยยิ่ง.....
เมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศบุญให้ท่านเหล่านี้
บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือปรารภถึงบุรพเปตชน (นึกถึงบรรพบุรุษผุ้ตายไป) หรือเทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือ ท้าวธตรฐ ๑ ท้าววิรุฬหก ๑ ท้าววิรูปักษ์ ๑ ท้าวกุเวร ๑
ให้เป็นอารมณ์แล้วพึงให้ทาน
ท่านเหล่านั้นเป็นอันบุคคลได้บูชาแล้ว และทายก (ผู้ให้ทาน) ก็ไม่ไร้ผล
ความร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือความร่ำไห้อย่างอื่น ไม่ควรทำเลยเพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เป็น ประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลาย (ที่ตายไป) คงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตน ๆ อันทักษิณาทาน (สิ่งของทำบุญ) นี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ให้แล้ว (อุทิศให้ญาติที่ตายไป) ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุรพเปตชนโดยทันที สิ้นกาลนาน.
อุทิศบุญบ่อยๆ เพื่ออนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย
.....เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้มีปัญญา พึงให้ทักษิณา (ผลบุญ) บ่อย ๆ
เพื่ออนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย
เปรตเหล่าอื่น บางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาด รุ่งริ่ง บางพวกนุ่งผม หลีกไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่เพื่อหาอาหาร บางพวกวิ่งไปแม้ในที่ไกลก็ไม่ได้อาหารแล้ว กลับมา บางพวกสลบแล้วเพราะความหิวกระหาย นอนกลิ้งไปบนพื้นดิน บางพวกล้มลงที่แผ่นดินในที่ตนวิ่งไปนั้น ร้องไห้ร่ำไรว่า เมื่อก่อนเราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศล (ความดี) ไว้ จึงได้ถูกไฟคือความหิวและความกระหายเผาอยู่ ดุจถูกไฟเผาแล้ว ในที่ร้อน เมื่อก่อน พวกเรามีธรรมอันลามก เป็นหญิงแม่เรือนมารดาทารกในตระกูล
เมื่อไทยธรรม (ของทำบุญ)ทั้งหลายมีอยู่ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน
เออ…ก็ข้าวและน้ำมีมากแต่เราไม่กระทำการแจกจ่าย ให้ทาน
และไม่ได้ให้อะไรในบรรพชิตทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติชอบ
อยากทำแต่กรรมที่คนดีไม่พึงทำ เป็นคนเกียจคร้านใคร่แต่ความสำราญและกินมาก
ให้แต่เพียงโภชนะก้อนหนึ่ง ด่าปฏิคาหก (ผู้รับทาน) ผู้รับอาหาร เรือน
พวกทาสีทาสา (คนรับใช้ชาย – หญิง) และผ้าอาภรณ์ของเราเหล่านั้น
ไม่สำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา พวกเขาไปบำเรอคนอื่นหมด เรามีแต่ส่วนแห่งทุกข์
เราจุติ (ตาย) จากเปรตนี้แล้ว จักไปเกิดในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม คือ ตระกูลจักสาน ตระกูลช่างรถ ตระกูลนายพราน ตระกูลคนจัณฑาล ตระกูลคนกำพร้า ตระกูลช่างกัลบก นี้เป็นคติ (ที่ไปเกิดของสัตว์) แห่งความตระหนี่
ส่วนทายกทั้งหลายผู้มีกุศลอันทำไว้แล้ว ในชาติก่อน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมยังสวรรค์ให้บริบูรณ์ และย่อมยังนันทวันให้สว่างไสวรื่นรมย์แล้วในเวชยันตปราสาทสำเร็จความปรารถนา ครั้นจุติ (ตาย) จากเทวโลกแล้ว ย่อมเกิดในตระกูลสูง มีโภคะ (ทรัพย์สมบัติ) มาก....
ทำบุญให้เทวดาบริเวณที่อาศัยอยู่
บุรุษชาติบัณฑิต ย่อมสำเร็จการอยู่ในประเทศ (สถานที่) ใด
พึงเชิญท่านผู้มีศีล ผู้สำรวมแล้ว ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริโภคในประเทศนั้น
แล้วควรอุทิศทักษิณาทาน (อุทิศบุญ) เพื่อเทวดาผู้สถิตอยู่ในที่นั้นๆ
เทวดาเหล่านั้นอันบุรุษชาติบัณฑิตนับถือบูชาแล้ว ย่อมนับถือบูชาบุรุษชาติบัณฑิตนั้น แต่นั้นย่อมอนุเคราะห์บุรุษชาติบัณฑิตนั้น ประหนึ่งมารดาอนุเคราะห์บุตร
บุคคลผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมเห็นความเจริญทุกเมื่อ